สธ. มอบโล่รางวัลหน่วยงานทำผลงานฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มกระตุ้นได้เกิน 70%
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดกิจกรรม “เชิดชูเกียรติเพิ่มภูมิสู้โควิด ทุกชีวิตปลอดภัย” มอบโล่ให้กับหน่วยงานที่มีผลงานในการฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มกระตุ้นได้เกิน 70% เร่งรัดการฉีดได้ก้าวหน้ารวดเร็ว และภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ที่ให้ความร่วมมือในการฉีดวัคซีนโควิด 19 ในกลุ่มเป้าหมาย ย้ำแม้สถานการณ์โควิด 19 จะมีทิศทางดีขึ้น แต่มาตรการป้องกันตนเองยังจำเป็น โดยเฉพาะการฉีดวัคซีนให้ครบ 4 เข็ม จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดการป่วยหนักและการเสียชีวิตได้
วันที่ 12 ม.ค. 66 ที่ห้องประชุมชั้น 9 กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข รับมอบหมายจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้เป็นประธานเปิดกิจกรรม “เชิดชูเกียรติเพิ่มภูมิสู้โควิด ทุกชีวิตปลอดภัย” มอบโล่รางวัลให้กับจังหวัดที่มีผลงานการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในทุกกลุ่มประชากร และกลุ่ม 608 ได้มากกว่า 70% ตลอดจนจังหวัดที่มีการฉีดวัคซีนได้ก้าวหน้ารวดเร็ว รวมทั้งหน่วยงานที่ให้ความร่วมมือในการฉีดวัคซีน รวม 50 รางวัล โดยมี นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค นพ.สุระ วิเศษศักดิ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ คณะผู้บริหาร ภาคีเครือข่ายและอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เข้าร่วมงาน
นพ.โอภาส กล่าวว่า ประเทศไทยสามารถก้าวข้ามวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 จนได้รับคำชมจากนานาประเทศ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด 19 อย่างทั่วถึง ซึ่งเกิดขึ้นจากความร่วมมือของภาคีเครือข่าย ทั้งกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานประกันสังคม สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สภากาชาดไทย UHosNet ทหาร ตำรวจ กรุงเทพมหานคร สถานพยาบาลเอกชน อสม. และ สสจ.ทุกจังหวัด ที่ร่วมกันค้นหากลุ่มเป้าหมาย และสนับสนุนการจัดบริการวัคซีนให้กับประชาชนกลุ่มต่างๆ อย่างทั่วถึง และแม้ขณะนี้ สถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศไทย จะมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงพบการระบาดในทุกภูมิภาคทั่วโลก ขณะที่ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตใกล้เคียงภาวะปกติมากขึ้น ดังนั้น มาตรการป้องกันตนเองเมื่ออยู่ในสถานที่ที่มีความเสี่ยงยังเป็นสิ่งจำเป็น ทั้งการสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะการรับวัคซีนให้ครบอย่างน้อย 4 เข็ม เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน ช่วยลดการป่วยหนักและการเสียชีวิต ที่สำคัญคือ เป็นการสร้างความมั่นคงทางสุขภาพของประเทศ ตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขที่มุ่งเน้นให้ “คนไทยสุขภาพดี เศรษฐกิจมั่งคั่ง : Health for Wealth” อันจะนำไปสู่เป้าหมาย “ประชาชนแข็งแรง เศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง ประเทศไทยแข็งแรง”
นพ.ธเรศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันเกือบทุกประเทศเปิดให้มีการเดินทางระหว่างประเทศได้ ซึ่งประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยม คาดการณ์ว่า ในปี 2566 จะมีนักท่องเที่ยวเข้าประเทศถึง 18 ล้านคน สร้างรายได้รวมจากการท่องเที่ยว 1.73 ล้านล้านบาท ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้ฟื้นตัวหลังสถานการณ์โควิด 19 ซึ่งวัคซีนโควิด 19 จะเป็นหนึ่งในอาวุธสำคัญที่จะช่วยปกป้องสุขภาพของประชาชนทุกคนและระบบสาธารณสุขของประเทศได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ เกือบ 2 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. 2564 – 6 ม.ค. 2566 ประเทศไทยฉีดวัคซีนโควิด 19 ไปแล้วกว่า 146 ล้านโดส แบ่งเป็น เข็มที่ 1 จำนวน 57.5 ล้านโดส เข็มที่ 2 จำนวน 54 ล้านโดส เข็มที่ 3 จำนวน 27.1 ล้านโดส เข็มที่ 4 จำนวน 6.4 ล้านโดส และเข็มที่ 5 ขึ้นไป จำนวน 1 ล้านโดส ซึ่งได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายเป็นอย่างดี
สำหรับหน่วยงานที่ได้รับโล่รางวัลเชิดชูเกียรติ รวม 50 รางวัล ประกอบด้วย รางวัลเชิดชูเกียรติหน่วยงาน ที่มีผลการดำเนินงานการฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มกระตุ้น ยอดเยี่ยมในทุกกลุ่มเป้าหมายมากกว่า 70% จำนวน 3 จังหวัด ได้แก่ นนทบุรี สมุทรปราการ และพระนครศรีอยุธยา รางวัลหน่วยงานที่มีผลการฉีดวัคซีนดีเด่น ในประชากรกลุ่ม 608 จำนวน 4 จังหวัด ได้แก่ ยโสธร ภูเก็ต น่าน และสมุทรสงคราม รางวัลหน่วยงานที่มีผลการฉีดวัคซีนก้าวหน้ารวดเร็ว จำนวน 8 จังหวัด ได้แก่ หนองคาย สุโขทัย สุรินทร์ นครราชสีมา สิงห์บุรี นครปฐม ระยอง และอุทัยธานี และรางวัลความร่วมมืออีก 35 หน่วยงาน
นพ.สุระ กล่าวเพิ่มเติมถึงการร่วมมือของ อสม. ว่า จากนโยบายกระทรวงสาธารณสุข ให้ อสม. เป็นสื่อกลางและเป็นต้นแบบ เร่งการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโควิด 19 ให้มากยิ่งขึ้น แม้ว่าสถานการณ์การระบาดของโรคจะคลี่คลายแล้ว แต่การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยลดการป่วยหนักและเสียชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งที่ผ่านมา อสม.ได้เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการดำเนินงานมาโดยตลอดและ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงเป็นแกนนำในการค้นหากลุ่มเป้าหมาย โดย อสม. ได้ใช้กลยุทธ์ “ออกเคาะประตูบ้าน เชิญชวน อสม. และกลุ่มเป้าหมาย 608 ไปรับวัคซีนเข็มกระตุ้น” โดยมีการวางแผน เตรียมพร้อม ร่วมกับ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อค้นหาและจัดกิจกรรมรณรงค์ฉีดวัคซีนในพื้นที่