ประชุมระดับชาติ PM 2.5 เปิดเวทีถกประเด็นอากาศสะอาด คุ้มครองสุขภาพ ปชช.
เริ่มแล้ว!! ประชุมระดับชาติ PM2.5 ครั้งแรกของประเทศ “สสส.–สกสว.–ศวอ.–มช.–สภาลมหายใจเชียงใหม่” สานพลัง 60 ภาคี เปิดเวทีถกประเด็น “อากาศสะอาด” หวังผลักดันเชิงนโยบายคุ้มครองสุขภาพประชาชนจากฝุ่นพิษ ข้อมูลชี้ชัดคนไทยป่วยด้วยโรคจากมลพิษทางอากาศกว่า 9 ล้านคน
วันที่ 3 ธ.ค. 66 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา จ.เชียงใหม่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.), มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ศูนย์วิชาการเพื่อขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษอากาศ (ศวอ.) และมูลนิธิเพื่อลมหายใจเชียงใหม่ จัดการประชุมระดับชาติ เรื่อง มลพิษทางอากาศ PM2.5 ครั้งที่ 1 (Thailand National PM2.5 Forum) หัวข้อ “อากาศสะอาด : ความรับผิดชอบร่วมของรัฐ เอกชน และประชาสังคม”
ศาสตราจารย์ ดร.นพ.พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) กล่าวว่า ในนาม มช. และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ของจังหวัดเชียงใหม่และภาคเหนือ ประสบปัญหา P.M.2.5 มานาน แต่ละช่วงที่ประสบปัญหานั้นยาวนานขึ้นจาก 2 เดือนเป็น 4 เดือน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ การดำรงชีวิตของคนในพื้นที่ มีผลต่อเศรษฐกิจ สังคม รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ปัญหาการเกิด มีสาเหตุที่หลากหลายปัจจัย ต้องใช้องค์ความรู้ งานวิจัย และการขับเคลื่อนนโยบาย ภาคประชาสังคมร่วมกันทุกภาคส่วน จึงเป็นอีกหนึ่งก้าวของการแก้ปัญหา ต้องช่วยกันทำ เพราะคนที่ได้รับผลกระทบเป็นคนรุ่นถัด ๆ ไป ต้องผลักดันแก้ปัญหาให้คนรุ่นต่อไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น
นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญในการวางแผนรับมือ ป้องกัน และแก้ไขวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องฝุ่น PM2.5 ที่สถานการณ์รุนแรงขึ้นทุกปี คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ได้เห็นชอบมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 การขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” และ “มาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ประจำปี 2567” และเมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2566 นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศเพื่อความยั่งยืน หรือ บอร์ดฝุ่นชาติ เพื่อเป็นกลไกเร่งรัดจัดทำแผนและดำเนินมาตรการเพื่อลดฝุ่นควัน PM2.5 ทั้งระบบ และบูรณาการหน่วยงานรัฐบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการแก้ปัญหาหมอกควัน ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
“และเมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2566 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ. บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตาม พ.ร.บ. ดังกล่าว ตามที่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ มีสาระสำคัญกำหนดกลไกบริหารจัดการและควบคุมกิจกรรมต่าง ๆ ที่ส่งผลให้เกิดมลพิษทางอากาศในทุกมิติ มีคณะกรรมการทำหน้าที่ขับเคลื่อนเชิงนโยบาย เชิงวิชาการ และบริหารจัดการเชิงพื้นที่ กำหนดมาตรการควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิด ทั้งโรงงานอุตสาหกรรม สถานประกอบการ เกษตรกรรม การคมนาคมและขนส่ง การเผาในที่โล่ง เผาป่า เผาในพื้นที่เกษตรกรรม ก่อสร้าง หมอกควันข้ามแดน ตลอดจนมีเครื่องมือ หรือมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อเป็นกลไกสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจ รวมถึงประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วมรับผิดชอบ และมีบทบาทหน้าที่ในการควบคุม ปรับลด และแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศร่วมกัน” รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าว
ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า ปัญหานั้นต่อเนื่องยาวนาน ต้นเหตุแตกต่างกันไปตามพื้นที่ต่าง ๆ โดยข้อมูลล่าสุดจากระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ หรือ Health Data Center (HDC) กระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2566 พบว่า เฉพาะปีนี้ ทั้ง 13 เขตสุขภาพ มีการป่วยด้วยโรคจากมลพิษทางอากาศ รวมกว่า 9.2 ล้านคน สะท้อนความรุนแรงของฝุ่น PM2.5 ต่อสุขภาพประชาชนชัดเจน สสส. ตระหนักถึงผลกระทบดังกล่าว โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ ผู้ปฏิบัติงานกลางแจ้ง มีความเสี่ยงป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจ โรคไม่ติดต่อ (NCDs) จึงยกระดับการดำเนินงานด้านปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ เรื่อง “ลดผลกระทบสุขภาพจากมลพิษทางสิ่งแวดล้อม” เป็น 1 ใน 7 ยุทธศาสตร์ 10 ปี (2565-2574)” ขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ด้วยพลังปัญญา สังคม และนโยบาย ผ่านการดำเนินงานที่สำคัญ อาทิ จัดตั้งศูนย์วิชาการเพื่อขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศวอ.) เสาหลักทำงานวิชาการ เพื่อสนับสนุนงานวิชาการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ หนุนเสริมเครือข่ายสภาลมหายใจภาคเหนือ 9 จังหวัด ต้นแบบสำหรับภาคอื่น ๆ ต่อไป สานพลังความร่วมมือ ภาคประชาชน ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม แก้ไขปัญหาพื้นที่แบบองค์รวม
“การประชุมครั้งนี้ เป็นก้าวสำคัญของการขับเคลื่อนการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศและฝุ่นควันของประเทศร่วมกัน ระหว่างภาครัฐ ท้องถิ่น เอกชน วิชาการ ประชาสังคม ด้วยเครื่องมือที่หลากหลายตามบริบทพื้นที่ บูรณาการภายใต้เจตจำนงร่วมกันมุ่งมั่นแก้ปัญหามลพิษทางอากาศและฝุ่นควันในระยะยาวและยั่งยืน ร่วมกันหาข้อสรุปนโยบายและมาตรการจัดการมลพิษทางอากาศ นำเสนอต่อรัฐบาล อีกทั้งมีการระดมนวัตกรรมทางสังคม การบริหารจัดการฝุ่นควัน ไฟป่า ซึ่งจะเป็นต้นแบบขยายผลการดำเนินงานให้ครอบคลุมพื้นที่ที่ประสบปัญหามากยิ่งขึ้นต่อไป” ดร. สุปรีดา กล่าว