“หมอธีระวัฒน์” เผยผลศึกษาอาการทางจิตเกี่ยวเนื่อง “กัญชา” อาจมีส่วนจากรหัสพันธุกรรม
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา เผยข้อมูลต่างชาติสรุปผลการศึกษาอาการทางจิตที่อาจเกิดจาก “กัญชา” ชี้ส่วนหนึ่งมีผลจากรหัสพันธุกรรมร่วมด้วย ประกอบกับปัจจัยอื่นๆ เช่น มีวัตถุประสงค์ที่ใช้เพื่อเฮฮา ปริมาณสารTHC ต้องเป็นจำนวนมากในครั้งเดียว
เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 67 ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา อดีตหัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha ให้ข้อมูลถึง กลไกที่จะเกิดอาการทางจิตของกัญชา ว่า
อาการทางจิตประสาทที่เกิดเนื่องจากการใช้กัญชาเป็นที่ทราบทั่วกัน และจนกระทั่งเป็นหัวข้อของการประชุมระดับประเทศของนักวิทยาศาสตร์ทางสมองของสหรัฐ ร่วมกับหน่วยงานปราบปรามยาเสพติด และ อย. ในปี 2016 จัดโดย New York Academy of Science และหลังจากนั้น มีการประมวลข้อมูลและหลักฐานรวมกระทั่งถึงการพิสูจน์เชื่อมโยงกลไกที่จะเกิดมีอาการทางจิต อันประกอบไปด้วยบุคคลนั้นๆ จะมีสภาวะเปราะบาง นั่นคือถูกกำหนดจากรหัสพันธุกรรม นอกจากนั้นยังสามารถอธิบายได้จากผลกระทบจากจุดประสงค์ของการใช้เพื่อการเสพสนุกเฮฮาอย่างเดียวโดยใช้ปริมาณสูง
ในส่วนของรหัสพันธุกรรมนั้น ใช้ประโยชน์จากการที่มีการรวบรวมรหัสพันธุกรรมของคนเป็น 100,000 คนในช่วงเวลาเป็น 10 ปีที่ผ่านมาและในการศึกษารหัสพันธุกรรมนั้นจะมีรายละเอียดของบุคคลแต่ละคนวิธีการดำเนินชีวิต ประวัติการเจ็บป่วย อาหารการกิน การใช้ยาต่างๆรวมกระทั่งถึงการสูบบุหรี่ดื่มสุรา ใช้สารเสพย์ติด และการใช้กัญชา เป็นต้น
ซึ่งข้อมูลเหล่านี้หลอมรวมกัน เป็น บิ๊กดาต้า ในการเชื่อมโยงดัชนีชี้วัดทางสุขภาพ ทางพันธุกรรม เข้ากับการศึกษาเชิงสมอง ในเรื่องของหน้าที่ ตำแหน่งที่แปรปรวน ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ รวมกระทั่งถึงภาพคอมพิวเตอร์สมองแบบพิเศษ เป็นต้น
ผลจากการศึกษาสามารถสรุปได้โดยสังเขปถึงอาการทางจิตที่เกิดเนื่องจากกัญชาจะประกอบไปด้วย
1 – จะเกิดจากวัตถุประสงค์ที่ใช้เพื่อเฮฮา ดังนั้นปริมาณของการเสพ จะมีสารTHC เป็นจำนวนมากในครั้งเดียว
2 – คนที่จะมีอาการทางจิตนั้นจะใช้เสพตามข้อ 1. และจะมีลักษณะถูกกำหนดโดยรหัสพันธุกรรมจำเพาะ
ก. โดยแบ่งออกเป็นเมื่อใช้แล้วจะถูกกำหนดให้ชอบและใช้บ่อยจนกระทั่งติด และเกิดมีการเปลี่ยนแปลงในสมองเฉพาะส่วนและในจำนวนนี้เมื่อใช้ต่อจะเกิดมีอาการทางจิตขึ้น หลักฐานทางสมองและมีรหัสพันธุกรรมเหล่านี้ค้นพบตั้งแต่ปี 2018
ข. สำหรับคนที่ไม่เคยใช้กัญชาเลยแต่ใช้ครั้งแรกและเจอกับ THC ในปริมาณสูงมากถึง เช่น 10 มิลลิกรัมหรือมากกว่าในครั้งเดียวและเกิดมีอาการทางจิตวิปลาสเกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้นจากการที่มีรหัสพันธุกรรมที่หายากที่รายงานในปี 2019 ยีน AKT1
ทั้งนี้อาการทางจิตนั้นจะหายไปเองโดยที่ไม่ต้องรักษาและถือเป็นข้อห้ามไม่ให้ใช้กัญชาแม้ว่าจะเป็นทางการแพทย์ก็ตามที่มี THC ยกเว้นเสียแต่ว่าใช้ CBD dominant กล่าวคือมีอัตราส่วนระหว่าง CBD :THC มากกว่า 20:1 ในภาวะเช่นโรคทางสมองบางชนิดที่ดื้อต่อ ยาปัจจุบันและใช้ CBD dominant ยังควบคุมอาการได้ไม่ดี เช่นโรคลมชักที่ดื้อยาอาจค่อยๆปรับเปลี่ยนเป็น CBD rich คือ อัตราส่วนอยู่ที่ 10:1
ทั้งนี้ คำว่า CBD นั้นจะไม่ใช่ CBD เดี่ยว ๆ ตัวเดียว แต่เป็น CBD และอนุพันธ์อื่นๆ จึงทำให้ได้ผลโดยไม่ต้องใช้ CBD ปริมาณสูงตามตำราต่างประเทศในสมัยก่อนซึ่งขณะนี้มีการปรับเปลี่ยนกันหมดแล้ว
ค. อาการทางจิตที่เกิดขึ้นหลังจากเสพโดยต้องการให้สนุกเฮฮา ตามข้อ 1. แต่เสพเกินเลยไปจนกระทั่งเมา (intoxication) จะมีอาการทางจิตได้สองแบบคือ
ค.1 เป็นอาการที่ไม่ใช่อาการทางจิตจริง และเป็นความแปรปรวนของการรับภาพ แปลภาพที่เห็นและมิติของภาพที่เห็น ทำให้บิดโย้ หรือมีความกว้างยาวและลึกแปรปรวน รวมทั้งสีผิดเพี้ยนไป ซึ่งเป็นผลจากความแปรปรวนของก้านสมองส่วนบนไปสู่สมองส่วนท้ายทอยซึ่งรับและแปลภาพที่เห็น โดยหายไปเองเมื่อหายเมา
ค.2 เป็นอาการทางจิตจริง เรียกว่าเป็น psychotic like experience และเกิดขึ้นจากการที่มีรหัสพันธุกรรมจำเพาะเช่นกัน แต่ต้องเสพกัญชาด้วยวัตถุประสงค์ ตามข้อหนึ่งและใช้บ่อยและจนกระทั่งเกิดวิปลาสชั่วขณะได้ และหายไปได้เอง รหัสพันธุกรรมดังกล่าวสามารถอธิบายได้ 69.2 ถึง 84.1% โดยมีการรายงานในปี 2018 (คนละรายงานจากข้างต้น)
ลักษณะตามข้อนี้จะมีลักษณะอาการทางจิตอยู่นานกว่าแม้ว่าจะหายเมาแล้วก็ตามโดยที่มีการทรงตัวเป็นปกติแล้วเป็นต้น ซึ่งในกรณีของข้อ ค.2 เป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงแต่ถ้ามีความจำเป็นต้องใช้กัญชาทางการแพทย์ให้ปฏิบัติตามข้อ ข.
อย่างไรก็ตามอาการติดกัญชา โดยที่จะมีอาการทางจิตหรือไม่มีก็ตาม สามารถหยุดกัญชาได้ทันทีโดยที่จะกลับเป็นปกติได้ในระยะเวลาประมาณ 28 วัน ทั้งนี้อาจจะช่วยให้การติดนั้นดีขึ้นเร็ว ด้วยการใช้ CBD และอนุพันธ์ โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้ยาโรคจิตหรือยาสงบประสาทอื่นๆ
ในกรณีที่ใช้ส่วนอื่นที่ไม่ใช่ช่อดอกมาใช้ในวิถีชีวิตประจำวันและใช้ในการประกอบอาหารนั้น ปริมาณของส่วนที่จะออกฤทธิ์ทางจิตประสาทนั้นมีปริมาณน้อยมากและเป็นที่รับทราบกันดีใน ผู้สูงอายุในประเทศไทยที่นำใบสดมาทำเป็นใบปั่นโดยจะร่วมหรือไม่ร่วมกับผลไม้อื่นก็ตาม หรือทำเป็นใบแห้งโดยจะทำให้แห้งโดยไม่ถูกความร้อนหรือจะถูกความร้อนก็ตามและนำมาบดใส่ถุงชาและดื่มเป็นน้ำชาไปตลอดทั้งวัน และรวมกระทั่งนำมาประกอบอาหาร
ทั้งนี้ วิถีไทยในการใช้ใบกัญชาและส่วนอื่นที่ไม่มีช่อดอก ใส่เพื่อรสชาติของอาหารและเพื่อความสุขโดยไม่ถึงกับเมา และในครอบครัวคนไทยไม่ได้มีจุดประสงค์ให้กินอาหารแล้วเกิดเมาอาเจียนเวียนหัวบ้านหมุน ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น คือทำอาหารไม่เป็น และจะผิดจุดประสงค์ของการใช้เพื่อวิถีไทยและการทำอาหารโดยสิ้นเชิง