สธ.เผยปี 67 อัตราเสียชีวิต โรคหลอดเลือดในสมองแตก สูงถึง 20.77%
กรมการแพทย์ โดยสถาบันประสาทวิทยา เผยปี 66 อัตราตายจากโรคหลอดเลือดในสมองแตกมีมากถึง 21.13% ปี 67 ยังเก็บข้อมูลไม่ครบทั้งปีพบ ตัวเลขสูงถึง 20.77% ย้ำ! รู้อาการ ไปโรงพยาบาลเร็ว มีโอกาสรอดและปลอดอัมพาต
เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 67 พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ภาวะเลือดออกในสมอง สามารถพบได้ในทุกกลุ่มอายุ แต่อาจมีสาเหตุแตกต่างกันไปตามช่วงวัย กล่าวคือ ผู้ป่วยอายุน้อย สาเหตุที่พบ มักเกิดจากสาเหตุของหลอดเลือดโป่งพอง หรือหลอดเลือดผิดปกติ ในผู้ป่วยกลุ่มนี้มักไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ จนเมื่อเกิดปัญหาหลอดเลือดแตก จึงมีอาการทางระบบประสาท นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่มีโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้เป็นระยะเวลานาน ทำให้ผนังหลอดเลือดเซาะ ฉีกขาด ทำให้หลอดเลือดสมองแตกในที่สุด ทำให้เกิดมีเลือดออกในสมอง เป็นสาเหตุให้เกิดภาวะอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิตได้
ผศ.น.พ.ธนินทร์ เวชชาภินันท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เพิ่มเติมว่า อาการเลือดออกในสมอง ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะมีอาการปวดศีรษะรุนแรงทันทีทันใด แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ร่วมกับมีอาการผิดปกติทางระบบประสาท เช่น
ความรู้สึกตัวผิดปกติ
– พูดไม่ชัด
– แขนขาอ่อนแรงซีกใดซีกหนึ่ง
– อาการทางระบบประสาทขึ้นกับตำแหน่งที่เลือดออก
– หากมีเลือดออกที่สมองน้อย ผู้ป่วยอาจจะมีอาการเซ ทรงตัวลำบาก พูดไม่ชัด ซึ่งดูแล้วอาจจะคล้ายคนเมาได้ เนื่องจากสมองส่วนนี้ จะทำหน้าที่ในการควบคุมการเคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้- ราบรื่น เมื่อผู้ป่วยมีอาการดังกล่าว ควรนำส่งผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดในทันที เพื่อให้ได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาโดยเร่งด่วน
พญ.ทัศนีย์ ตันติฤทธศักดิ์ รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กล่าวว่า แนวทางการวินิจฉัยและรักษานั้น แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และส่งเอกซเรย์สมอง เพื่อยืนยันว่ามีเลือดออกในสมองและตำแหน่งของความผิดปกติ และวางแผนในการรักษา โดยที่อัตราเสียชีวิตในผู้ป่วยที่มีเลือดออกในสมองค่อนข้างสูง
จากรายงานของกระทรวงสาธารณสุขในปี 2566 พบว่า มีอัตราตายจากโรคหลอดเลือดในสมองแตก ร้อยละ 21.13 และในปี 2567 ที่ยังเก็บข้อมูลไม่ครบทั้งปี ก็พบว่า ตัวเลขสูงถึง ร้อยละ 20.77 หากผู้ป่วยสามารถไปถึงโรงพยาบาลได้เร็ว ได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็ว สามารถลดความพิการและการเสียชีวิตได้ การรักษาจะขึ้นกับตำแหน่งและปริมาณของเลือดที่ออก หากมีเลือดออกปริมาณเล็กน้อย อาจจะให้การรักษาแบบประคับประคองและควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ แต่หากเลือดออกในปริมาณสูง อาจจะมีความจำเป็นต้องผ่าตัดระบายเลือดออก และลดความดันในกะโหลกศีรษะ หากสาเหตุของเลือดออกเกิดจากหลอดเลือดผิดปกติ หรือหลอดเลือดโป่งพอง แพทย์ก็จะพิจารณาทำการรักษาด้วยการสวนหลอดเลือดเพื่อปิดทางเดินหลอดเลือดที่ผิดปกติ หรืออาจจะต้องรักษาด้วยหลากหลายวิธีร่วมกัน
ทั้งนี้ การป้องกันภาวะหลอดเลือดออกในสมองนั้นสำคัญที่สุด ผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูง ควรตรวจรักษาและควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ดีตลอด เพื่อลดโอกาสของการเกิดภาวะเลือดออกในสมอง เมื่อมีอาการที่สงสัยโรคหลอดเลือดสมอง เช่น พูดลำบาก ปากตก แขนขาอ่อนแรง เดินเซที่เกิดขึ้นทันทีทันใด ให้ไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด เพราะ รู้อาการ ไปโรงพยาบาลเร็ว โอกาสรอดและปลอดอัมพาตก็จะสูงขึ้น