“หมอสัมฤทธิ์” ไม่ห่วง 30 บาทรักษาทุกที่ กทม. รพ.รามาฯ ใช้ใบส่งตัว มีระบบนัดคิวพบแพทย์
แพทย์ชี้ รพ.รามาฯ มีระบบบริหารจัดการตามคิว แพทย์มีโควต้ารับเคสในแต่ละวัน ไม่กังวล 30 บาทรักษาทุกที่ กทม. ยืนยันต้องใช้ใบส่งตัว เชื่อโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ไม่แออัด ต้องผ่านกระบวนการนัดหมาย
เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 67 ที่ผ่านมา ผศ.นพ.สัมฤทธิ์ ศรีธำรงสวัสดิ์ หัวหน้าโครงการวิจัยเพื่อพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉิน และรองหัวหน้าภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวถึงความพร้อม 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียวในพื้นที่ กทม. ภายในงาน “ประชุมนำเสนอผลการดำเนินโครงการวิจัยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โครงการวิจัยเพื่อพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉิน โดย คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี” ที่ห้องค็อกพิท โรงแรมอมารี ดอนเมือง
ผศ.ดร.นพ.สัมฤทธิ์ กล่าวกับสำนักข่าว Hfocus ว่า 30 บาทรักษาทุกที่ กทม. จะสับสนหรือไม่ขึ้นอยู่กับการประชาสัมพันธ์ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เป็นหลัก ถ้าดูจากการประชาสัมพันธ์ ดูเหมือนจะโฟกัสไปที่หน่วยบริการนวัตกรรม พวกคลินิกต่าง ๆ และร้านขายยา ที่เป็นของเอกชน ประชาชนสามารถใช้บริการได้ง่าย ถ้ามีความชัดเจนเช่นนี้ก็จะไม่สับสน สิ่งที่ สปสช. ทำ คิดว่า ดำเนินการมาก่อนหน้านี้แล้ว ตั้งแต่ช่วงโควิด แต่ในช่วงนั้นคลินิกเอกชนที่เข้าร่วมอาจไม่มาก แต่ตอนนี้น่าจะมีมากขึ้นแล้ว
“ส่วนที่คิดว่าจะไปแออัดที่โรงพยาบาลขนาดใหญ่หรือไม่นั้น ผมคิดว่าอาจจะไม่ เพราะค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ไปในแต่ละครั้งเสียเวลาทั้งวัน โดยเฉพาะโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ ต้องผ่านกระบวนการในการนัดหมาย ถ้าไปถึงแล้วไม่สามารถไปยังแผนกนั้นโดยตรงได้ ต้องมีการส่งต่อ จึงคิดว่า มีระบบการจัดการภายในของโรงพยาบาลอยู่แล้ว”
ผศ.ดร.นพ.สัมฤทธิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับต่างจังหวัดมีการประเมินโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ โดยประเมินใน 4 จังหวัดแรก ได้แก่ แพร่ ร้อยเอ็ด นราธิวาส และเพชรบุรี พบว่า การใช้บริการข้ามเขตของโรงพยาบาลใหญ่ไม่ได้เพิ่มขึ้น ก่อนหน้านี้ถึงไม่มีนโยบายนี้ ก็มีการส่งต่อกันอยู่แล้ว แต่เมื่อมีนโยบายนี้ขึ้นมา ทำให้ไม่ต้องใช้ใบส่งตัว เพิ่มความสะดวกให้กับประชาชน
“รพ.รามาฯ ผู้ป่วยต้องมีใบส่งตัว ต้องมีการประสานกันเพื่อนัดคิว ถ้าเข้ามาที่โรงพยาบาลโดยตรง วอล์คอินมา ต้องไปที่แผนกเวชศาสตร์ครอบครัวก่อน เพราะแพทย์แต่ละคนจะมีโควต้าในการตรวจได้วันละกี่เคส ก็ต้องมีการจัดการคิวต่อไป” ผศ.ดร.นพ.สัมฤทธิ์ กล่าว