แนวทางป้องกันตนเองเมื่อโควิด-19 เป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวัง ต้องปรับตัวตั้งรับเมื่อไวรัสเปลี่ยน
หลังจากที่ประเทศไทยประกาศลดระดับ ให้โรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง สิ่งที่เกิดขึ้นคือ รัฐบาลสั่งยุติบทบาทศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. แล้วมอบหมายให้การดำเนินการควบคุมป้องกันโรคกลับไปใช้ พ.ร.บ.โรคติดต่อแห่งชาติ พ.ศ.2558 ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของกระทรวงสาธารณสุข ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขก็ได้ยกเลิกศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข หรืออีโอซี จากระดับกระทรวง มาเป็นระดับกรม คือ กรมควบคุมโรค ทั้งมีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ เพื่อให้เศรษฐกิจได้ขับเคลื่อน ประชาชนเดินทางได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ให้คนไทยได้ทำมาหากินและกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้มากขึ้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า โรคโควิด-19 กำลังจะหมดไปจากประเทศไทยและจากโลกใบนี้
ซ้ำร้ายล่าสุด เมื่อวันที่ 14 ต.ค.2565 ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ รามาธิบดี ได้ระบุว่า ไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอน มีการกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ย่อยอีกอย่างน้อย 6 สายพันธุ์ย่อย ได้แก่ BQ.1.1, BF.7, BA.2.3.20, BA.2.75.2, BN.1 และ XBB ซึ่งจากฐาน ข้อมูลรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมโควิดโลกรายงานว่า ไทยพบโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BF.7 จำนวน 2 คน BN.1 จำนวน 3 คน BA.2.75.2 จำนวน 5 คน แม้ข้อมูลจากฐานข้อมูลโลก จะพบการระบาดของแต่ละสายพันธุ์อยู่ในราว 200-2,000 คน แต่มีการเพิ่มจำนวนมากกว่า 105% หรือเท่าตัวในทุกสัปดาห์ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกคาดว่าจะระบาดมาแทนที่ BA.5 ในสิ้นปีนี้หรือต้นปี 2566 นั่นหมายถึงการป้องกันตนเองของประชาชน ทั่วไปจึงยังมีความสำคัญและจำเป็น
“ขณะนี้เราอยู่ในช่วงปลายทางของโควิด-19 แล้ว ด้วยเหตุผลที่ทั่วโลกฉีดวัคซีนมากขึ้น เชื้อโอมิครอนแม้กลายพันธุ์เร็วแต่ไม่รุนแรง ช่วงเวลานี้คนที่ยังต้องระวังคือคนที่ยังไม่ฉีดวัคซีน ฉีดไม่ครบ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะเสียชีวิต ทั้งนี้ ไวรัสมีการกลายพันธุ์ตลอดเวลา ยังไม่สามารถกำหนดหรือคาดการณ์ระยะเวลาที่แน่ชัดว่าภายใน 1-2 ปี จะกลับมาระบาดอีกหรือไม่ รู้เพียงว่ามีโอกาสกลับมาระบาด ตราบใดที่คนมีภูมิคุ้มกันที่ดีก็อาจจะเป็นแค่เชื้อไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดเป็นครั้งเป็นคราว สำหรับการใส่หน้ากากนั้น ผมยังอยากให้ใส่เพื่อป้องกันโรคต่างๆ” ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อดีตคณบดี คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุ
ขณะที่การควบคุมสุขอนามัยของสถานประกอบการต่างๆ ซึ่งเป็นหน้าที่ของกรมอนามัยนั้น นพ.เอกชัย เพียรศรีวัชรา รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า องค์กรต่างๆ ยังคงต้องใช้มาตรการป้องกันโรคโควิด-19 หรือมาตรการโควิดฟรีเซ็ตติ้ง ซึ่งครอบคลุมทุกสถานประกอบการที่ส่งผลต่อสังคม การดำรงชีวิต และภาพรวมด้านเศรษฐกิจ แบ่งเป็น 1.อนามัยสิ่งแวดล้อม เช่น การทำความสะอาดจุดสัมผัสร่วม ระบบระบายอากาศ จัดอุปกรณ์ล้างมือให้เพียงพอ 2.ด้านพนักงานและผู้ปฏิบัติงาน เช่น การคัดกรองอาการป่วยของพนักงาน การเข้ารับวัคซีนให้ครบตามเกณฑ์ ควรหยุดปฏิบัติงานเมื่อมีอาการป่วย กรณีสถานที่จำหน่ายอาหารนั้น พนักงาน ทุกคนต้องสวมหน้ากากขณะให้บริการ และผ่านการ อบรมมาตรฐานของผู้สัมผัสอาหาร 3.ด้านประชาชนที่เข้ารับบริการ หากมีอาการป่วยไม่ควรออกจากที่พัก ส่วนประชาชนทั่วไปแนะนำให้สวมหน้ากากเมื่อเข้าไปในสถานที่ที่มีผู้คนแออัด หรือพื้นที่ปิด อากาศไม่ถ่ายเท ล้างมือบ่อยๆ เมื่อมีการสัมผัสอุปกรณ์ สิ่งของ พื้นผิวสัมผัสร่วมกัน ทั้งควรตรวจ ATK เมื่อมีอาการป่วย หรือสงสัย ตามความจำเป็น และไม่แนะนำให้ตรวจ ATK ในประชาชนทั่วไปที่ไม่มีอาการป่วย
สำหรับแนวทางการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 นั้น นพ.ธงชัย กีรติหัตยากร อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า “ผู้ป่วยโรคโควิด-19 หากมีอาการเล็กน้อย เช่น ไอเล็กน้อย อ่อนเพลีย ไข้ต่ำ สูญเสียความสามารถในการรับรสและกลิ่น ไม่ต้องกินยาต้านไวรัส ควรกินยาตามอาการ เช่น ถ้ามีไข้เล็กน้อยก็กินพาราเซตามอล ไอก็กินยาแก้ไอ และสังเกตอาการตัวเอง หากมีไข้สูง เจ็บหน้าอก ให้มาพบแพทย์เพื่อประเมินการรักษา กรณีผู้ป่วยที่อาการน้อย แนะนำงดเดินทางและแยกตัวเอง 5 วัน ปฏิบัติตนตามมาตรการ DMH คือ D-Distancing เว้นระยะห่าง, M-Mask สวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า, H-Hand Hygiene ล้างมือบ่อยๆ แต่ถ้าจำเป็นต้องเดินทางหรือต้องไปทำงาน ขอให้สวมหน้ากากอนามัย 2 ชั้น แยกตัวจากผู้อื่น แยกรับประทานอาหาร ปฏิบัติมาตรการ DMH อย่างเข้มข้น 5 วัน หากมีอาการไอมาก เสมหะมากแนะนำให้หยุดและแยกตัวจากผู้อื่น ส่วนประชาชนทั่วไป ขอให้มีหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ ติดตัวและล้างมือบ่อยๆ สวมหน้ากากเมื่ออยู่ในสถานที่แออัด”
แม้ประเทศ ไทยจะลดระดับของโรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังแล้วก็ตาม แต่จากการที่ยังคงมีการกลายพันธุ์ของไวรัสร้ายโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ของโรคสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ซึ่งเราไม่อาจคาดการณ์ได้ เพราะโรคโควิด-19 เป็นเรื่องใหม่ของคนทั้งโลก แต่บทเรียนที่ผ่านมากว่า 3 ปี ทำให้เราได้เรียนรู้วิธีป้องกันตนเอง โดยเฉพาะการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าของประชาชน บวกกับการล้างมือบ่อยๆ และการเว้นระยะห่าง ที่ช่วยป้องกันโรคได้เป็นอย่างดี รวมทั้งการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ตามความสมัครใจ ซึ่งล่าสุดได้เริ่มฉีดวัคซีนในเด็กเล็ก อายุ 6 เดือนถึง 4 ปีแล้ว ขณะที่กลุ่มเสี่ยงที่น่าห่วงใยคือ กลุ่มผู้สูงอายุที่ยังไม่ได้รับวัคซีนหรือไม่ได้รับเข็มกระตุ้น เป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนต้องรณรงค์กันอย่างหนักต่อไป เพื่อลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
การป้องกันตนเองและเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับมหันตภัยไวรัสร้ายโควิด-19 อย่างปลอดภัย จึงน่าจะเป็นคำตอบเพื่อที่ทุกคนได้ออกไปทำมาหากิน เด็กๆ ได้กลับไปโรงเรียน และทุกคน ได้ใช้ชีวิตในสังคมอย่างปกติได้