รมช.สธ. ชื่นชม รพ.พุทธชินราช นำระบบ Telemedicine ใช้ดูแลผู้ป่วยวิกฤติขณะนำส่งรพ. พัฒนาจนติด 25 รพ.ที่ดีที่สุดของประเทศ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมเสริมพลังบุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาลพุทธชินราช และ อสม.พิษณุโลก เผย มีการนำระบบ Telemedicine เชื่อมต่อรถพยาบาลและห้องฉุกเฉิน ดูแลผู้ป่วยวิกฤติขณะนำส่งโรงพยาบาล ช่วยเพิ่มความปลอดภัย ผู้รับบริการพึงพอใจในประสิทธิภาพและการบริการจนติดอันดับ 25 จาก 30 โรงพยาบาลที่ดีที่สุดในประเทศไทย
วันที่ 27 ต.ค. 65 ที่โรงพยาบาลพุทธชินราช จ.พิษณุโลก ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.ภาณุมาศ ญาณเวชสกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 2 และคณะผู้บริหาร ติดตามการดำเนินงานด้านการแพทย์และสาธารณสุข ให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ พร้อมเยี่ยมเสริมพลัง อสม. และกล่าวว่า โรงพยาบาลพุทธชินราช มีการพัฒนาจนติดอันดับที่ 25 จาก 30 โรงพยาบาลที่ดีที่สุดในประเทศไทย ปี 2565 ซึ่งวัดจากความพึงพอใจของผู้ป่วยในการเข้ารับการรักษา และตัวชี้วัดประสิทธิภาพทางการแพทย์ โดยจากการตรวจเยี่ยมครั้งนี้ ได้เห็นการนำระบบ Telemedicine มาใช้ในการดูแลผู้ป่วยวิกฤติฉุกเฉิน เช่น ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง หลอดเลือดหัวใจ ผู้ป่วยอุบัติเหตุ ด้วยการเชื่อมต่อระบบสัญญาณชีพของผู้ป่วยและกล้องจากรถพยาบาล ไปยังห้องฉุกเฉิน เพื่อประสานแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตลอดเวลา ทำให้ได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที เพิ่มความปลอดภัยระหว่างนำส่งโรงพยาบาล ทั้งนี้ ต้องขอขอบคุณบุคลากรทุกคนที่เสียสละทุ่มเทในการทำงานดูแลสุขภาพประชาชนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จนทำให้ระบบสาธารณสุขไทยเป็นที่ยอมรับจากนานาชาติ
สำหรับ อสม. ถือเป็น “กองทัพจิตอาสา” ที่กระทรวงสาธารณสุขไว้วางใจมอบภารกิจสำคัญ คือ การเป็นหมอคนที่ 1 ในการดูแลสุขภาพอนามัยประชาชนในพื้น ส่งเสริมการมีสุขภาพดี เช่น การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย ช่วยลดการเกิดโรค NCDs ทำให้ลดภาระงบประมาณของประเทศในการรักษาพยาบาลนับเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับระบบสาธารณสุขไทย โดยรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขได้ดูแลเรื่องขวัญกำลังใจ ค่าตอบแทนต่างๆ ควบคู่ไปกับการสร้างหลักประกันความมั่นคงให้กับ อสม. และครอบครัว โดยมีสวัสดิการยกเว้นค่าห้องพิเศษ ค่าอาหารพิเศษในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และปรับระเบียบ ฌกส. อสม. ให้คู่สมรสสามารถสมัครฌาปนกิจสงเคราะห์ได้เพื่อเป็นหลักประกันให้กับครอบครัวเมื่อเสียชีวิต โดยขณะนี้จะได้รับเงินช่วยเหลือ 450,000 บาทต่อครอบครัว