สธ.ทำพิธีรับมอบวัคซีนไฟเซอร์ชนิด “Bivalent” รุ่น 2 จำนวน 7 ล้านโดส จากสาธารณรัฐอิตาลี
วันที่ 10 พ.ค. 66 ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายอสิ ม้ามณี อธิบดีกรมยุโรป นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค และคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ทำพิธีรับมอบวัคซีนโควิด 19 รุ่น 2 หรือไบวาเลนท์ (Bivalent) จากสาธารณรัฐอิตาลี โดยมีนายเปาโล ดีโอนีซี (H.E. Mr.Paoplo Dionisi) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิตาลีประจำประเทศไทย นางฟรานเชสก้า บลาโซเน่ (Mrs. Francesca Blasone) อัครราชทูตสาธารณรัฐอิตาลีประจำประเทศไทยและคณะ เป็นผู้แทนส่งมอบ โดยมีแผนการเตรียมมอบวัคซีนไฟเซอร์รุ่น 2 จำนวน 7 ล้านโดส
นายอนุทิน กล่าวว่า ในนามรัฐบาลไทยและกระทรวงสาธารณสุข ขอขอบคุณรัฐบาลสาธารณรัฐอิตาลีอิตาลีที่ประสงค์จะสนับสนุนวัคซีนให้กับประเทศไทย โดยเป็นวัคซีนไฟเซอร์รุ่น 2 จำนวน 7 ล้านโดส ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรก ถือเป็นการตอกย้ำความร่วมมือที่แข็งแกร่งและความสัมพันธ์ทางการทูตที่แน่นแฟ้นยาวนานกว่า 155 ปี มีความร่วมมือกันในการพัฒนาเทคโนโลยี การศึกษา การท่องเที่ยว วัฒนธรรม รวมถึงเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญ และในวันนี้เป็นการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศไทยเพิ่มขึ้นอีกระดับ จากการสนับสนุนทางด้านสาธารณสุข ด้วยการบริจาควัคซีนโควิด 19 เพื่อให้ประชาชนทุกคนในประเทศไทยสามารถเข้าถึงวัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพลดการป่วยหนักและเสียชีวิต ซึ่งขณะนี้วัคซีนยังไม่ได้นำส่งถึงประเทศไทยอย่างเป็นทางการ แต่อยู่ในกระบวนการหารือเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการส่งมอบ โดยมีกรมยุโรป กระทรวงการต่างประเทศ ช่วยดำเนินการประสานงานอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ยังอยู่ในระหว่างการหารือการมอบวัคซีนโควิคชนิดโปรตีนซับยูนิตจากสาธารณรัฐอิตาลีให้แก่ประเทศไทยเพิ่มเติมด้วย
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า สถานการณ์โรควิด 19 แม้ระบาดเพิ่มขึ้น แต่ไม่รุนแรง เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่มีภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีนจนมีความครอบคลุมสูงมาก ส่วนสายพันธุ์ใหม่ XBB.1.16 ไม่ได้มีอาการรุนแรงไปกว่าสายพันธุ์เดิม แต่ที่สำคัญคือ กลุ่มเสี่ยงเกิดอาการป่วยรุนแรงยังคงเป็นกลุ่ม 608 ผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน หรือได้รับเข็มสุดท้ายนานกว่า 6 เดือน การฉีดวัคซีนโควิด 19 จึงยังมีความจำเป็นในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ซึ่งจะช่วยไม่ให้ป่วยอาการหนักและเสียชีวิตได้ดี โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง กระทรวงสาธารณสุขได้ให้สถานพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศจัดจุดบริการฉีดวัคซีนโควิด 19 พร้อมบริการฉีดควบคู่ “วัคซีนไข้หวัดใหญ่” เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชน และให้เร่งสื่อสารทำความเข้าใจเรื่องการฉีดวัคซีนประจำปี เพื่อเตรียมตัวรับมือการแพร่ระบาดของโรคในช่วงฤดูฝนส่วนข้อกังวลกรณีจะมีการระบาดของโควิด 19 และไข้หวัดใหญ่พร้อมกัน ยืนยันว่ามีความพร้อมดูแล ทั้งยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ