องค์การอนามัยโลก เผย 7 ประเด็นสำคัญ ฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ได้ประสิทธิภาพ
วันที่ 21 พ.ค. 66 ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาล (รพ.) รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยผ่านเพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics ระบุ 7 ประเด็นสำคัญที่องค์การอนามัยโลกแนะนำทั่วโลกถึงช่วงเวลาการฉีดวัคซีนในแต่ละกลุ่มประชากร รวมทั้งประเภทของ “สายพันธุ์โอมิครอน” ที่ควรนำไปใช้เป็นหัวเชื้อในการผลิตวัคซีนโควิด 19 ชนิดสายพันธุ์เดี่ยวหรือ “วัคซีนโมโนวาเลนต์” ในอนาคต
ที่ปรึกษาสองกลุ่มขององค์การอนามัยโลกคือกลุ่มที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ด้านการสร้างภูมิคุ้มกัน (the World Health Organization’s Strategic Advisory Group of Experts on Immunization:SAGE) และกลุ่มที่ปรึกษาด้านเทคนิคเกี่ยวกับองค์ประกอบของ วัคซีนโควิด-19 (WHO’s Technical Advisory Group on COVID-19 Vaccine Composition : TAG-CO-VAC) ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับช่วงเวลาการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับแต่ละกลุ่มประชากรและสายพันธุ์ของไวรัสโคโรนา 2019 ที่ควรนำมาใช้เป็นหัวเชื้อผลิตวัคซีนป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต เมื่อวันที่ 28 มีนาคม และ 18 พฤษภาคม 2566 ตามลำดับ คำแนะนำดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่องค์การอนามัยโลก ยกเลิกภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขของโควิด-19 เมื่อประมาณสองสัปดาห์ก่อน ( 4 พ.ค. 66)
ปรับปรุง 21/5/2566 เวลา 8:51
ที่ปรึกษาสองกลุ่มขององค์การอนามัยโลกคือกลุ่มที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ด้านการสร้างภูมิคุ้มกัน (the World Health Organization’s Strategic Advisory Group of Experts on Immunization:SAGE) และกลุ่มที่ปรึกษาด้านเทคนิคเกี่ยวกับองค์ประกอบของวัคซีนโควิด-19 (WHO’s Technical Advisory Group on COVID-19 Vaccine Composition:TAG-CO-VAC) ได้ให้คำแนะนำแก่ชาติสมาชิกทั่วโลกเกี่ยวกับช่วงเวลาการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในแต่ละกลุ่มประชากรและสายพันธุ์ของไวรัสโคโรนา 2019 ที่ควรนำมาใช้เป็นต้นแบบของการผลิตวัคซีนป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ในอนาคตให้มีประสิทธิภาพสูง เมื่อวันที่ 28 มีนาคม และ 18 พฤษภาคม 2566 ตามลำดับ คำแนะนำดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่องค์การอนามัยโลก ยกเลิกภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขของโควิด-19 เมื่อประมาณสองสัปดาห์ก่อน ( 4 พฤษภาคม 2566) โดยมี 7 ประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
1. วัคซีนในอนาคตควรมุ่งเป้าไปที่โอมิครอนกลุ่ม XBB.1* (XBB.1.5, XBB.1.16, และ XBB.1.9.1) โดยที่สายพันธุ์ดั้งเดิมของ SARS-CoV-2 กล่าวคือ ไวรัสดั้งเดิมอู่ฮั่น อัลฟา เบตา แกมมา เดลตา ไม่ควรนำมาใช้เป็นหัวเชื้อผลิตวัคซีนอีกต่อไป เนื่องจากปริมาณการระบาดไหลเวียนติดเชื้อในมนุษย์ทั่วโลกลดลงและภูมิคุ้มกันที่ถูกกระตุ้นขึ้นมาจากสายพันะุ์เหล่านี้จะมีประสิทธิภาพต่ำในการเข้าจับและทำลายโอมิครอนสายพันธุ์ปัจจุบัน
2. วัคซีนป้องกันโควิด-19 สองสายพันธุ์ (สายพันธุ์ดั้งเดิมอู่ฮั่น + โอมิครอน BA.4/BA.5) ที่มีอยู่ เช่น วัคซีนไบวาเลนต์บูสเตอร์ในสหรัฐฯ แม้จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงและการเสียชีวิต แต่ก็มีประสิทธิภาพต่ำในการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ปัจจุบัน เนื่องจากแอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นมีปริมาณลดลงอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่เดือนหลังฉีด
3. การแก้ไขแนวทางการให้วัคซีนแนะนำว่าเด็กและวัยรุ่น อายุตั้งแต่ 6 เดือน-17 ปีที่มีสุขภาพดีอาจ “ไม่จำเป็นต้องได้รับวัคซีน” อย่างไรก็ตามผู้สูงอายุและกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงควรได้รับการฉีดเข็มกระตุ้นภายใน 6 ถึง 12 เดือนหลังจากได้รับวัคซีนครั้งสุดท้าย
4. วัคซีนในอนาคตอาจพิจารณาใช้สายพันธุ์ลูกผสมโอมิครอนกลุ่ม XBB.1 และลูกหลาน เพียงชนิดเดียว (โมโนวาเลนต์) เช่น XBB.1.5, XBB.1.16, หรือ XBB.1.9.1 เป็นหัวเชื้อหรือแอนติเจนที่ใช้ผลิตวัคซีน
5. ไม่แนะนำให้ใช้สายพันธุ์เก่ามาเป็นหัวเชื้อร่วมกับสายพันธุ์ใหม่ (ไบวาเลนต์) แม้ผลกระทบทางคลินิกจะยังไม่ชัดเจนแต่มีหลักฐานในหลอดทดลองบ่งชี้ว่าหากใช้สายพันธุ์เดิมฉีดกระตุ้นซ้ำๆจะทำให้การสร้างแอนติบอดีของเม็ดเลือดขาวต่อไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่กลายพันธุ์ไปเล็กน้อยลดประสิทธิภาพลง (การประทับตราทางอิมมูน: immune imprinting*) จึงควรใช้ไวรัสสายพันธุ์ใหม่เท่านั้นในการผลิตวัคซีนในอนาคต
6. คำแนะนำสำหรับวัคซีนโควิด-19 ขององค์การอนามัยโลกอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามลักษณะการแพร่ระบาดที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
7. องค์ประกอบแอนติเจนของวัคซีน COVID-19 ในอนาคตจะได้รับการประเมินเป็นประจำโดย TAG-CO-VAC ซึ่งพิจารณาจากวิวัฒนาการของไวรัสโคโรนา 2019 ด้วยการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของไวรัสอย่างต่อเนื่อง
หมายเหตุ
การฉีดกระตุ้นด้วยวัคซีนที่ใช้ไวรัสตัวเดิมซ้ำๆอาจจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดีกล่าวคือเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “การประทับตราทางอิมมูน: Immune imprinting” เป็นกระบวนการที่ระบบภูมิคุ้มกันของเราเรียนรู้จดจำรูปลักษณ์ของไวรัสที่ใช้ผลิตวัคซีน เช่น ในกรณีของวัคซีนโควิด-19 ที่ใช้ไวรัสดั้งเดิมอู่ฮั่นมาโดยตลอด ข้อดีคือจะช่วยให้ร่างกายของเราตอบสนอง(สร้างแอนติบอดี) ได้เร็วขึ้นหากพบไวรัสตัวเดิมอีกในอนาคต อย่างไรก็ตามหากร่างกายเรากลับพบกับไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ระบบภูมิคุ้มกันอาจยังคงจดจำรูปแบบเดิมของไวรัสสายพันธุ์เก่าที่เรียนรู้จากการรับวัคซีน ทำให้ไม่สร้างแอนติบอดีต่อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ หรือสร้างน้อย อุบัติการณ์นี้พบได้ในหลอดทดลองแต่ยังไม่มีความชัดเจนในระบบร่างกายมนุษย์
ข้อมูลรหัสพันธุกรรมโอมิครอนสายพันธุ์ลูกผสม XBB.1* ในประเทศไทยจากฐานข้อมูลโควิดโลก “จีเสส” ภายใต้ความร่วมมือจาก 3 หน่วยงานคือ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดี และ MORU Mahidol Oxford Tropical Medicine Research Unit
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาพบโอมิครอน XBB.1* จากผู้ติดเชื้อในประเทศไทยประมาณ 84.69% (426 ตัวอย่าง) จากตัวอย่างทั้งหมดที่มีการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโจมและอัปโหลดขึ้นมาแชร์บนฐานข้อมูลโควิดโลกจีเสส
สายพันธุ์ย่อยของ XBB.1* ในประเทศไทยช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาประกอบด้วย
• XBB.1.16 (20.19%)
• XBB.1.5 (11.74%)
• XBB.1.9.1 (10.56%)
• FL.4 (7.98%)
• XBB.1.16.1 (6.10%)
• XBB.1.16.2 (4.69%)
• XBB.1.5.65 (3.05%)
• XBB.1.9.2 (3.05%)
• XBB.1.5.24 (2.82%)
• XBB.1 (2.11%)
• FL.10 (2.11%)
• XBB.1.22.2 (2.11%)
• FL.5 (1.64%)
• EG.1 (1.64%)
• XBB.1.32.1 (1.41%)
• XBB.1.5.15 (1.41%)
• XBB.1.5.57 (1.17%)
• FL.2 (0.94%)
• EG.4 (0.94%)
• FE.1 (0.94%)
• XBB.1.5.17 (0.94%)
• EU.1.1 (0.70%)
• XBB.1.5.47 (0.70%)
• EG.2 (0.70%)
• XBB.1.22 (0.70%)
• XBB.1.16.3 (0.70%)
• XBB.1.37.1 (0.70%)
• XBB.1.5.7 (0.70%)
• FL.12 (0.47%)
• GA.1 (0.47%)
• XBB.1.5.38 (0.47%)
• XBB.1.5.42 (0.47%)
• EG.1.2 (0.47%)
• XBB.1.5.55 (0.47%)
• XBB.1.22.1 (0.47%)
• XBB.1.24.1 (0.47%)
• FD.2 (0.23%)
• XBB.1.5.35 (0.23%)
• XBB.1.5.33 (0.23%)
• FL.1 (0.23%)
• FT.1 (0.23%)
• XBB.1.5.48 (0.23%)
• XBB.1.19.1 (0.23%)
• EG.5.1 (0.23%)
• XBB.1.11.1 (0.23%)
• XBB.1.5.14 (0.23%)
• XBB.1.5.12 (0.23%)
• XBB.1.5.13 (0.23%)
• FU.1 (0.23%)
• XBB.1.24.2 (0.23%)
• XBB.1.5.18 (0.23%)
• XBB.1.16.5 (0.23%)