“แพทองธาร” คิกออฟ 30 บาทรักษาทุกที่เฟสสุดท้าย เผยปี 68 สร้าง นักบริบาลผู้สูงอายุ 1.5 หมื่นตำแหน่ง
เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 67 ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน 30 บาทรักษาทุกที่ เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า ระยะที่ 4 ครอบคลุมทั่วประเทศ 1 มกราคม 2568 โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี
โดย น.ส.แพทองธาร กล่าวปาฐกถา 30 บาทรักษาทุกที่ เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้าว่า วันนี้ 30 บาทรักษาทุกที่ได้เดินทางมาถึงระยะที่ 4 ตั้งแต่ต้นปีได้เริ่มระยะที่ 1 ที่จังหวัดนำร่อง และได้แจ้งประชาชนไว้ว่า จะพยายามเปิดให้ได้เร็วที่สุด เพื่อลดภาระของประชาชน ซึ่งวันนี้เปิดตัวเป็นระยะสุดท้ายอีก 31 จังหวัด จะได้ใช้บริการ 30 บาทรักษาทุกที่อย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป ซึ่งทำได้สำเร็จตามเป้าหมายใน 1 ปี เท่ากับว่าเราใช้เวลาประมาณ 2 ทศวรรษ เปลี่ยนจาก 30 บาทรักษาทุกโรคเมื่อ 22 ปีที่แล้ว มาสู่การเป็น 30 บาทรักษาทุกที่ในวันนี้ ซึ่งเป็นการ Digital Transformation หรือการเปลี่ยนผ่านระบบสุขภาพสู่ระบบดิจิทัล
“ประชาชนที่เคยต่อคิวนาน ๆ ก็จองผ่านแอปพลิเคชั่นได้แล้ว ไม่ต้องเสียเวลาเป็นวัน ๆ ประชาชนต่างจังหวัดต้องไปต่อคิวโรงพยาบาลเสียเวลาเป็นวัน เสียเวลาทำมาหากินของประชาชน นโยบายนี้ต้องปรับปรุงเพื่อให้เข้ากับยุคสมัย ช่วยแบ่งเบาภาระประชาชนต่อไปในวันข้างหน้า”
น.ส.แพทองธาร กล่าวต่อว่า ในวันนี้ 30 บาทรักษาทุกที่ได้เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของประชาชนแล้ว 100% ประชาชนทุกคนมี Health ID ประจำตัว ได้รับบริการรักษาพยาบาลที่สะดวกรวดเร็วขึ้น ไม่ต้องรอคิวตรวจนานที่โรงพยาบาลอีกต่อไป เราใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาสนับสนุนการให้บริการแก่ประชาชน เกิดเป็นใบส่งตัวในรูปแบบดิจิทัล การแจ้งเตือนนัดหมอผ่านไลน์ การหาหมอผ่านออนไลน์ การเปิดให้ร้านยาและคลินิกเอกชนเข้ามาร่วมเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิดูแลประชาชน เพิ่มทางเลือกให้ประชาชนรับบริการใกล้บ้านตามเวลาราษฎรไม่ใช่เวลาราชการ ผลจากการที่มีทางเลือกใหม่ๆ พบว่าทำให้ประชาชนกว่า 80,000 คนที่ไม่เคยใช้สิทธิมาก่อน มาใช้ 30 บาทรักษาทุกที่ ที่ร้านยาและคลินิกเอกชน อีกทั้งการมีนัดหมายออนไลน์ และใบส่งตัวดิจิทัล ได้ช่วยลดระยะเวลารอคอยของประชาชน เพราะไม่ต้องไปรอคิวแต่เช้า การมีระบบไอทีใน 30 บาทรักษาทุกที่ ผลวิจัยพบว่าทำให้ประชาชนในพื้นที่นำร่องมีความรอบรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศมากกว่าพื้นที่อื่น
ขับเคลื่อนระบบสาธารณสุข 6 ด้าน
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า หลังจากความสำเร็จของ 30 บาทรักษาทุกที่ในปีแรกแล้ว ในปี 2568 นี้ รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาระบบสาธารณสุข 6 ด้าน พร้อมเตรียมงบประมาณรองรับ ดังนี้
1. ระบบบริการสุขภาพผู้สูงอายุ จัดตั้งสถานชีวาภิบาลทั่วประเทศ
2. สร้าง Care Giver หรือนักบริบาลผู้สูงอายุ 15,000 ตำแหน่งทั่วประเทศ ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงานในชุมชน โดยจะเน้นกลุ่มที่เป็นนักศึกษาจบใหม่ และผู้สูงอายุหลังเกษียณเพื่อให้มีงานทำ หารายได้เพิ่มให้กับครอบครัว
3. เพิ่มความเข้มแข็งการดูแลสุขภาพของประชาชน คัดกรองเร็ว รู้เร็ว รักษาง่าย ปัจจุบันมีชุดตรวจคัดกรองด้วยตนเองที่ประชาชนใช้แค่บัตรประชาชนไปขอรับได้ที่ร้านยาคือชุดตรวจมะเร็งปากมดลูก ชุดตรวจการติดเชื้อเอชไอวี ชุดตรวจพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ในปีนี้จะเพิ่ม ชุดตรวจไมโครอัลบูมินในปัสสาวะ ป้องกันโรคไตเสื่อมจากเบาหวาน
4. การดูแลสุขภาพจิตของคนไทย ด้วยบริการจิตเวชครบวงจรตั้งแต่การป้องกัน รักษา และการให้คำปรึกษาบำบัด ทั้ง ศูนย์ให้ปรึกษาทางจิตเวช และการรับการปรึกษาทางสุขภาพจิตผ่านแอปพลิเคชัน
5. การบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยติดสารเสพติดกลับสู่สังคม
6. ขับเคลื่อน 50 โรงพยาบาล 50 เขต เพื่อคนกรุงเทพฯ มีโรงพยาบาลใกล้บ้านเป็นที่พึ่ง
ด้าน นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ด้วยความมุ่งมั่นของรัฐบาลเพื่อดูแลคนไทยให้เข้าถึงบริการสาธารณสุขที่จำเป็น ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ อย่างมีคุณภาพและมาตรฐาน สะดวก รวดเร็ว ใกล้บ้าน นำมาสู่เป้าหมาย “30 บาทรักษาทุกที่” ครอบคลุมทั่วประเทศ กระทรวงสาธารณสุขได้ขับเคลื่อนการดำเนินงาน แบ่งออกเป็น 4 ระยะ ระยะที่ 1 เริ่มเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2567 ที่ 4 จังหวัดนำร่อง ระยะที่ 2 เริ่มเมื่อ 1 มีนาคม 2567 เพิ่มเติมอีก 8 จังหวัด และระยะที่ 3 เริ่มเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 ขยายอีก 33 จังหวัดและกรุงเทพมหานคร
รมว.สาธารณสุข กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา 30 บาทรักษาทุกที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ประชาชนมีความพึงพอใจอย่างยิ่ง เนื่องจากทำให้มีทางเลือกในการรับบริการสุขภาพมากขึ้น นอกจากรับบริการตามขั้นตอนที่หน่วยบริการเดิมที่อยู่ในระบบแล้ว สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ร่วมกับ 7 สภาวิชาชีพทางการแพทย์ เพิ่มหน่วยบริการนวัตกรรมอีก 7 ประเภท โดยขึ้นทะเบียนในระบบแล้วประมาณ 13,000 แห่ง มีประชาชนรับบริการแล้วกว่า 6 ล้าน 5 แสนคน หรือประมาณ 15 ล้านครั้ง
นอกจากนี้ ยังมี 14 บริการนวัตกรรมทางเลือกใหม่ เช่น ระบบการแพทย์ทางไกล หาหมอผ่านแอปพลิเคชัน รถทันตกรรมเคลื่อนที่ คลินิกเวชกรรมเชิงรุก ตู้ห่วงใย เจาะเลือดที่บ้าน และรถรับส่งผู้ป่วย
“ในวันนี้เป็นการประกาศเพื่อขับเคลื่อนระยะที่ 4 อีก 31 จังหวัดเพิ่มเติม ทำให้ 30 บาทรักษาทุกที่ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ ตามนโยบายรัฐบาลที่ประกาศไว้แล้ว” รมว.สาธารณสุข กล่าว
ทั้งนี้ 31 จังหวัดพร้อมให้บริการ 30 บาทรักษาทุกที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป ได้แก่
1.ตาก
2.สุโขทัย
3.พิษณุโลก
4.อุตรดิตถ์
5.ขอนแก่น
6.มหาสารคาม
7.กาฬสินธุ์
8.มุกดาหาร
9.ยโสธร
10.ศรีษะเกษ
11.อุบลราชธานี
12.สมุทรปราการ
13.ปราจีนบุรี
14.ฉะเชิงเทรา
15.ชลบุรี
16.ระยอง
17.จันทบุรี
18.ตราด
19.กาญจนบุรี
20.สุพรรณบุรี
21.นครปฐม
22.สมุทรสาคร
23.สมุทรสงคราม
24.ราชบุรี
25.ประจวบคีรีขันธ์
26.ชุมพร
27.ระนอง
28.สุราษฎร์ธานี
29.กระบี่
30.นครศรีธรรมราช
31.ภูเก็ต