สปสช.ขยาย “ตู้ห่วงใย” บริการคนบัตรทอง 10 จุดบริการ เผยข้อแตกต่าง “ตู้ห่วงใย-ร้านยา” งบจัดสรร
สปสช.ขยายต่อ “ตู้ห่วงใย” บริการ 10 จุดบริการ ทั้ง กทม.และต่างจังหวัด เพิ่มจุดติดตั้งที่ รพ. รวม 4 แห่ง ทั้ง รพ.พระนั่งเกล้า จ.นนทบุรี – รพ.นครนายก – รพ.พระนารายณ์ จ.ลพบุรี และ รพ.ปทุมธานี ช่วยลดความแออัดใน รพ. ผู้ป่วยบัตรทองใช้บริการสะสม 2,396 ครั้ง
ยังเกิดคำถามข้อแตกต่างระหว่าง “ตู้ห่วงใย” และ “ร้านยา” และข้อห่วงใยของหน่วยบริการกับประเด็นงบจัดสรรแบบไหนคุ้มค่ากว่ากัน
ที่ผ่านมาสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) จัดสรรงบประมาณให้แก่หน่วยบริการปฐมภูมิ ในการจัดบริการสาธารณสุขผ่านรูปแบบที่เรียกว่า “7 หน่วยบริการนวัตกรรม” ได้แก่ คลินิกการพยาบาล ร้านยา คลินิกเทคนิคการแพทย์ คลินิกทันตกรรม คลินิกเวชกรรม คลินิกกายภาพบำบัด และคลินิกแพทย์แผนไทย เพื่อหวังลดความแออัดในสถานพยาบาล ลดการรอคอยแพทย์ รอคอยรับยา เป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ป่วยบัตรทองกทม. กรณีเจ็บป่วยเล็กน้อย หรือผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง(NCDs) ให้สามารถรับยาใกล้บ้าน โดยไม่ต้องเดินทางมายังโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ซึ่งทั้งหมดตอบสนองนโยบายเรือธงต่อยอดจาก 30 บาทรักษาทุกโรค มาเป็น “30 บาทรักษาทุกที่”
นอกจากนี้ ยังจัดบริการเพิ่มเติมสำหรับผู้ป่วยบัตรทอง กรณีผู้ป่วยนอกเจ็บป่วยเล็กน้อย โดยอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาช่วย อย่างการจัดบริการผ่านแอปพลิเคชันทั้ง แอป Clicknic, แอป Saluber MD และ แอป Mordee และล่าสุดยังอาศัยระบบการแพทย์ทางไกล(Telemedicine) ร่วมกับการจ่ายยามาบริการผู้ป่วย ที่เรียกว่า “ตู้ห่วงใย” ซึ่งได้เปิดตัวและให้บริการตั้งแต่ต้นปี 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งเบื้องต้นเน้นให้บริการผู้ป่วยที่มีนัดติดตามกับคุณหมอที่โรงพยาบาล
ดูแลกลุ่ม 42 อาการ
ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) อธิบายถึง “ตู้ห่วงใย” ว่า ตู้ห่วงใย เป็นการบริการดูแลครอบคลุม 42 กลุ่มอาการ เริ่มตั้งแต่บริการตรวจสุขภาพด้วยเทคโนโลยีบริการที่แม่นยำ สะดวก รวดเร็ว และจะได้รับผลตรวจทันที บริการปรึกษาสุขภาพผ่านระบบการแพทย์ทางไกลหรือวิดีโอคอลกับคุณหมอภายในตู้ห่วงใย ระบบจะทำการเชื่อมต่อเพื่อรับคำปรึกษา พร้อมคำแนะนำด้านสุขภาพ โดยใช้ผลตรวจสุขภาพมาร่วมวินิจฉัย สำหรับในส่วนของบริการยารักษาอาการจะเป็นไปตามรายการสิทธิประโยชน์ที่ สปสช. กำหนด ที่เป็นไปตามบัญชียาหลักแห่งชาติ ผู้ป่วยสามารถเลือกรับยาที่ร้านยาที่เข้าร่วมให้บริการตามความสะดวก หรือเลือกจัดส่งยาถึงบ้าน ทั้งหมดนี้เป็นการใช้สิทธิบัตรทอง เพียงใช้บัตรประชาชนใบเดียว โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
“ ตั้งแต่ติดตั้ง ตู้ห่วงใย แห่งแรกบริเวณสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ เปิดตัวอย่างเป็นทางการโดย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข วันนี้ด้วยความร่วมมือกับบริษัท ทัช เทคโนโลยี จำกัด ได้มีการขยายติดตั้งตู้ห่วงใยเพิ่มเติมแล้วใน 7 พื้นที่ เป็นการนำร่องบริการทั้งที่ กทม. และต่างจังหวัด นอกจากติดตั้งจะอยู่ในชุมชนแล้ว ยังติดตั้งในบริเวณของโรงพยาบาล เพื่อให้เป็นทางเลือกการเข้ารับบริการสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่มากและไม่สะดวกรอคิวรับบริการที่อาจต้องใช้เวลานาน” ทพ.อรรถพรกล่าว
ปัจจุบันข้อมูลการเข้ารับบริการตู้ห่วงใย มีประชาชนใช้สิทธิบัตรทองรับบริการแล้วจำนวน 2,172 คน เป็นจำนวน 2,396 ครั้ง โดยเข้าบริการด้วยอาการโพรงจมูกอักเสบเฉียบพลัน 565 ครั้ง รองลงมาเป็นอาการทั่วไป อาการปวดกล้ามเนื้อจำนวน 263 คน ปวดศีรษะจำนวน 156 คน และอาการท้องร่วง กระเพาะและลำไส้อักเสบ 82 ครั้ง และคออักเสบเฉียบพลัน 79 คน นับเป็นจุดเริ่มต้นนวัตกรรมบริการสุขภาพในรูปแบบใหม่และจากนี้จะมีการเพิ่มเติมจุดบริการอย่างต่อเนื่อง
ตู้ห่วงใย อยู่ที่ไหนบ้าง
ทพ.อรรถพร กล่าวต่อว่า ส่วนพื้นที่ติดตั้งตู้ห่วงใย วันนี้ประชาชนสามารถใช้สิทธิบัตรทองรับบริการได้แล้วในพื้นที่ 10 จุดบริการ ตั้งแต่เวลา 08.00 – 20.00 น. ดังนี้ 1.กรุงเทพมหานคร รับบริการได้ที่สหกรณ์เคหสถานเจริญชัยนิมิตใหม่ เขตจตุจักร 2.สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ (ขาออก) เขตจตุจักร 3.อาคารทัช บิลดิ้ง พระราม 9 ซอย 7 เขตห้วยขวาง 4.เคหะห้วยขวาง NHA Innovation Center เขตดินแดง และ 5.ซีคอน สแควร์ ศรีนครินทร์ ประตูทางเข้า โซนมันมัน ให้บริการเวลา 08.00 ถึง 22.00 น.
ส่วนในพื้นที่ต่างจังหวัดได้มีการติดตั้งแล้ว โดยให้บริการเวลา 08.00 ถึง 22.00 น. คือที่ 6.โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จ.นนทบุรี 7.โรงพยาบาลนครนายก จ.นครนายก บริเวณจุดพักคอยแผนกจักษุ ชั้น 1 ตึกน้ำใจ 8.โรงพยาบาลพระนารายณ์ จ.ลพบุรี บริการชั้น 1 ติดกับห้องอุบัติเหตุฉุกเฉิน 9.โรงพยาบาลปทุมธานี จ.ปทุมธานี และ 10.มหาวิทยาลัยมหิดล ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ตรงบริเวณสำนักงานหอพัก ใต้หอ 11 นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างประสานติดตั้งเพิ่มเติมอีก 3 จุด ซึ่งจะให้บริการในเร็วๆ นี้ คือที่ รพ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี, รพ. พระพุทธบาท จ.สระบุรี และ รพ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา
ข้อแตกต่าง ข้อเหมือนกันระหว่าง ‘ตู้ห่วงใย-ร้านยา’
ทั้งนี้ เกิดคำถามถึงข้อแตกต่างระหว่าง “ตู้ห่วงใย” และ “ร้านยา” หากไม่รวมการใช้ Telemedicine ของตู้ห่วงใย ดูเหมือนการรับยาจะไม่แตกต่างจากร้านยา ทพ.อรรถพร สรุปข้อแตกต่าง ดังนี้
ข้อเหมือน
1. ทั้งสองจุด เป็นการให้บริการสำหรับประชาชนที่เจ็บป่วยเล็กน้อย 42 กลุ่มอาการเหมือนกัน
2. ทั้งสองบริการ ประชาชนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
ข้อแตกต่าง
1. ร้านยา ให้บริการโดยเภสัชกร จ่ายยาตามอาการ ได้รับยาทันทีและติดตามอาการหลัง 72 ชั่วโมง ถ้าไม่ดีขึ้น ต้องไปพบแพทย์
2. ตู้ห่วงใย ให้บริการโดยแพทย์ หากแพทย์วินิจฉัยแล้ว จะมีการส่งยาไปให้ที่บ้าน ซึ่งอาจใช้เวลารอยาไม่เกิน 4 ชั่วโมง และถ้าแพทย์เห็นว่า อาการที่คนไข้เป็น ไม่ใช่เจ็บป่วยเล็กน้อย หรือสงสัยว่าจะเป็นมาก จะแนะนำให้คนไข้ไป รพ.ทันที
เวที Provider เห็นต่าง ‘ตู้ห่วงใย’ งบสูงเกินหรือไม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงการจัดสรรงบประมาณกรณี “ตู้ห่วงใย” ว่า คุ้มค่าหรือไม่ เนื่องจากภายในงานเสวนาเรื่อง “ทิศทางการดำเนินงานระบบบัตรทองในปัจจุบันและอนาคต” เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา มีการพูดถึง “ตู้ห่วงใย” โดยภก.ปรีชา พันธุ์ติเวช นายกสภาเภสัชกรรม และน.ส.ศรินทร สนธิศิริกฤตย์ เจ้าของคลินิกเวชกรรมอารีรักษ์ และสมาชิกสมาคมคลินิกชุมชนอบอุ่น มองว่า ตู้ห่วงใย มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า 500 บาทต่อครั้ง น่าจะนำงบส่วนนี้มาเสริมกับบริการใกล้บ้านที่มีอยู่หรือไม่
งบจัดสรร 7 หน่วยบริการนวัตกรรมปี 68
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในขณะที่งบอื่นๆ ของ “7 หน่วยบริการนวัตกรรม” ใช้งบประมาณที่น้อยกว่า โดย ภก.คณิตศักดิ์ จันทราพิพัฒน์ ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เคยให้ข้อมูลว่า งบดำเนินการหน่วยบริการนวัตกรรม ปีงบประมาณ 2568 สปสช. จัดสรรงบบริการ จำนวน 2,180.23 ล้านบาท เป็นค่าบริการสำหรับหน่วยบริการปฐมภูมิ ระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) และจัดส่งยาให้ผู้ป่วยทางไปรษณีย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้จัดสรรเป็นค่าบริการสำหรับหน่วยบริการนวัตกรรมจำนวน 1,521.61 ล้านบาท แยก ดังนี้
1.คลินิกการพยาบาล จำนวน 509.36 ล้านบาท 2.ร้านยา จำนวน 492 ล้านบาท 3.คลินิกเทคนิคการแพทย์ จำนวน 289.15 ล้านบาท 4.คลินิกทันตกรรม ทันตกรรมเคลื่อนที่ จำนวน 101.37 ล้านบาท 5.คลินิกเวชกรรม จำนวน 77 ล้านบาท 6.คลินิกกายภาพบำบัด จำนวน 41.45 ล้านบาท และ 7.คลินิกแพทย์แผนไทยจำนวน 11.29 ล้านบาท
เรื่องนี้จึงเป็นอีกประเด็นที่ต้องจับตามองว่า จะมีการประเมินความคุ้มค่าของการใช้ “ตู้ห่วงใย” อย่างไรบ้าง