กรมควบคุมโรคย้ำ “กลิ่นศพ” ไม่ก่อโรคระบาด แต่สารชีวภาพจากการย่อยสลาย ส่งผลต่อทางเดินหายใจ
กรมควบคุมโรค จัดทีมเฝ้าระวังโรคระบาดชายแดน เผย ‘กลิ่นศพ’ ไม่แพร่โรคระบาด แต่พบ 2 สารชีวภาพ จากการย่อยสลายของร่างกาย มีผลระคายเคืองต่อทางเดินหายใจ เยื่อบุตา จมูก ผิวหนัง คลื่นไส้อาเจียน เวียนศีรษะ ส่วนโรคหวัดนกพบผู้ป่วยกัมพูชา ติดจากการสัมผัสสัตว์ป่วยตาย โอกาสมีละอองจากนกติดเชื้อ และสูดดมเชื้อเข้าไป ถือว่ายากมาก
ตามที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สั่งการกรมอนามัย – กรมควบคุมโรค จัดการแก้ปัญหา “กลิ่นศพ” ป้องกันเรื่องกลิ่น และโรคระบาดที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุสู้รบชายแดนไทยกัมพูชานั้น
ล่าสุดวันที่ 5 ส.ค. 68 พญ.จุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค(คร.) ให้สัมภาษณ์ Hfocus ถึงเรื่องนี้ว่า จริงๆในเรื่องการจัดการกับศพ จะมีคำแนะนำเพื่อป้องกันโรค ซึ่งตามหลักการจะแนะนำเรื่อง การสวมอุปกรณ์ป้องกัน เช่น สวมอุปกรณ์ป้องกันใส่ชุด PPE ถุงมือสองชั้น หน้ากากอนามัย หรือ N95 แว่นตากันละออง รองเท้าบู๊ตกันน้ำ แต่ในกรณีพื้นที่ชายแดนครั้งนี้ เราไม่สามารถข้ามไปจัดการศพที่อยู่ในพื้นที่ของอีกประเทศได้ ซึ่งประเด็น คือ หากมีการทิ้งศพไว้ไม่จัดการ จนเน่าสลายและมีกลิ่นเหม็นจะมีผลกระทบอย่างไรกับทหาร เจ้าหน้าที่ ประชาชนตามชายแดนหรือไม่
สารชีวภาพก่อกลิ่นเหม็น
พญ.จุไร กล่าวว่า เรื่องโรคติดต่อจากกรณีกลิ่นศพ ไม่สามารถติดได้ ส่วนใหญ่เป็นกลิ่นเหม็น สาเหตุจากสารชีวภาพ ที่เกิดจากการย่อยสลายของศพ เช่น Putrescine และ Cadaverine เป็นต้น ซึ่ง 2 สารนี้หากมีปริมาณมาก ฉุนมาก ก็จะส่งผลต่อการระคายเคืองต่อทางเดินหายใจ เยื่อบุตา จมูก และผิวหนัง หากเป็นมากจะทำให้คลื่นไส้อาเจียน เวียนศีรษะ จึงแนะนำให้ผู้ที่ต้องสัมผัสกลิ่น สวมใส่หน้ากากอนามัยป้องกัน โดยเฉพาะอาจเป็นแบบมีแผ่นกรองคาร์บอนที่จะช่วย กรองกลิ่น และอาจมีการหยดน้ำมันหอมระเหยเช่น เมนทอล ยูคาลิปตัส เพื่อลดผลกระทบจากกลิ่น
“ เรื่องโรคระบาด หากผู้เสียชีวิต ไม่ได้ป่วยเป็นโรคระบาดรุนแรง อย่างไวรัสอีโบลา วัณโรค ฯลฯ หรือไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อ โอกาสแพร่เชื้อโรคจากศพเป็นไปได้น้อยมาก โดยปกติเมื่อเสียชีวิตไปแล้วภายใน 2 ชั่วโมงส่วนใหญ่เชื้อโรคจะตายหมด ที่ผ่านมายังไม่เคยมีการรายงานว่าเกิดโรคระบาดจากศพที่เป็นผลจากภัยธรรมชาติ แต่อย่างใด” พญ.จุไร กล่าว
โฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนข้อกังวลที่ว่า หากศพถูกปล่อยทิ้งไว้ และไม่ได้รับการจัดการที่ถูกต้อง จะมีสิ่งคัดหลั่งออกจากศพ พวกน้ำเหลือง อุจจาระ และอาจมีเชื้อโรคปนเปื้อนไปกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมีพวกสัตว์ปีก แมลง นก ไปยุ่งกับศพ โอกาสแพร่กระจายเชื้ออาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะการปนเปื้อนในแหล่งน้ำ ซึ่งจำเป็นต้องมีการดูแลในเรื่องน้ำดื่มน้ำใช้ให้ดี สำหรับโรคทางเดินหายใจ ไข้หวัดใหญ่ ละอองเชื้อไม่ได้มากับกลิ่น (จะติดจากการรับเชื้อจากการไอจามจากผ้ป่วย ใกล้ชิดในระยะ 1 เมตร) ส่วนวัณโรคจะฟุ้งในอากาศ ซึ่งเมื่ออยู่ในพื้นที่เปิดโล่ง โอกาสรับเชื้อย่อมน้อย
ไข้หวัดนก
ส่วนไข้หวัดนก ที่กังวลเรื่องสัตว์ปีกไปยุ่งกับศพ และอาจนำเชื้อมาแพร่กระจายนั้น โอกาสติดเชื้อน้อยมากเช่นกัน จากข้อมูลผู้ป่วยไข้หวัดนกในเสียมราฐ กัมพูชา มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดจับสัตว์ปีกที่ป่วยตาย ซึ่งโอกาสที่จะมีละอองจากนกติดเชื้อ และเราสูดดมเชื้อเข้าไปจึงยากมาก เพราะอยู่ในพื้นที่เปิดโล่ง ขออย่ากังวล แนะนำให้ดูแลสุขอนามัยที่ดี เน้น การล้างมือบ่อยๆ และไม่ไปสัมผัสสัตว์ปีกป่วยตาย ขณะเดียวกันกรมควบคุมโรค ยังมีระบบเฝ้าระวังป้องกันโรคระบาดอย่างต่อเนื่องตลอด
“กรมควบคุมโรค มีหน่วยงานในพื้นที่ ที่ดูแลระบบการเฝ้าระวัง ติดตาม และให้คำแนะนำกับประชาชนอยู่เสมอ นอกจากนี้ กรมฯ ยังจัดส่งหน้ากากที่มีแผ่นกรองคาร์บอนไปในพื้นที่ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ย้ำว่า ณ ปัจจุบันยังไม่เคยมีโรคระบาดที่เกิดจากศพที่เสียชีวิตจากภัยธรรมชาติ ” พญ.จุไร กล่าว
โฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวทิ้งท้ายว่า เราไม่สามารถทราบได้ว่า ผู้เสียชีวิตมีโรคอะไรอยู่หรือไม่ อย่างวัณโรค ที่อาจออกมาทางอากาศ แต่ประเด็นคือ เป็นพื้นที่เปิด โอกาสรับเชื้อจึงน้อยไปด้วย ดังนั้น หากคงมาตรการเข้มข้นป้องกันตัวเอง ล้างมือ สวมใส่หน้ากากอนามัยก็จะปลอดภัย รวมถึงแหล่งน้ำที่ใกล้ศพ ก็ควรต้องระมัดระวัง แหล่งน้ำดื่มน้ำใช้ควรถูกสุขอนามัย สำหรับการสวมใส่หน้ากากอนามัยในประชาชนทั่วไป สามารถใส่หน้ากากอนามัยธรรมดา หรือหากต้องการลดกลิ่นอาจใส่หน้ากากที่มีแผ่นกรองคาร์บอน สำหรับ หน้ากาก N95 อาจไม่สะดวก เนื่องจากผู้ใส่อาจจะหายใจไม่ค่อยสะดวก