รพ.จุฬาภรณ์แนะกลุ่มเสี่ยงเกิดก่อนปี 2535 ตรวจคัดกรอง-ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
ทีมแพทย์รพ.จุฬาภรณ์ เผยข้อมูลโรคไวรัสตับอักเสบบี อันตรายก่อโรคมะเร็งตับในอนาคต ชี้ตั้งแต่ปี 2535 รัฐบรรจุเป็นวัคซีนพื้นฐานให้ทารกแรกเกิดต้องฉีดทุกคน แต่กลุ่มเสี่ยงเกิดก่อนปี 35 ควรคัดกรอง ตรวจเลือดหาภูมิคุ้มกัน ย้ำ! วัคซีนมีความปลอดภัยสูง หากฉีดครบโดสเพียง 1 ครั้งกระตุ้นภูมิคุ้มกันสูงถึง 95% และมีภูมิฯ ยาวนานตลอดชีวิต
เมื่อวันที่ 8 ส.ค. 68 ที่ผ่านมา ที่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ จัดกิจกรรม Let’s break it down รู้เร็ว รักษาไว ป้องกันได้….ลดมะเร็งตับ และบริการวิชาการสุขภาพและบริการทางการแพทย์เนื่องในวันตับอักเสบโลก (World Hepatitis Day) ประจำปี 2568 เพื่อถวายเป็นพระกุศลแด่ ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงเจริญพระชันษา 68 ปี วันที่ 4 กรกฎาคม 2568
ภายในงานยังให้บริการตรวจเลือดหาเชื่อไวรัสตับอักเสบบี (HBsAg) จำนวน 168 ราย บริการตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (Anti-HBs) จำนวน 168 ราย และบริการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีฟรี! เฉพาะเข็มแรก สำหรับผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันอีกจำนวน 68 ราย
ทั้งนี้ นพ.ดำรงค์ สุกิจปัญญาโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ กล่าวตอนหนึ่งในพิธีเปิด ว่า ประเทศไทย คาดว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง ประมาณ 2–3 ล้านคน และติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง ประมาณ 350,000 ราย ทั่วประเทศ โรคไวรัสตับอักเสบมิได้เพียงเป็นโรคติดเชื้อธรรมดา แต่เป็นสะพานนำไปสู่มะเร็งตับ อย่างไรก็ตาม โรคนี้ป้องกันได้ด้วยวัคซีน ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงถึง 95% ในการป้องกันการติดเชื้อ ส่วนไวรัสตับอักเสบซี สามารถรักษาให้หายขาดได้ถึง 99% ด้วยยาสมัยใหม่ที่ใช้เวลาเพียง 8-12 สัปดาห์ นับเป็นความหวังที่จะบรรลุเป้าหมายในการกำจัดไวรัสตับอักเสบให้ได้ในปี 2573 ตามเป้าหมายขององค์การอนามัยโลกและประเทศสมาชิก รวมถึงประเทศไทย
นพ.วรวัฒน์ แสงวิภาสนภาพร หัวหน้างานอายุรกรรมทางเดินอาหาร แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ทางเดินอาหารและตับ เปิดเผยถึง อุบัติการณ์ไวรัสตับอักเสบและมะเร็งตับ ว่า ข้อมูลล่าสุด ปี 2022 มีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง ทั้งไวรัสตับอักเสบบีและซีเรื้อรังสะสมอยู่ประมาณ 300 ล้านคน ในประชากรเหล่านี้เป็นไวรัสตับอักเสบบีประมาณ 250 ล้านคน พบผู้ป่วยรายใหม่กว่า 2 ล้านรายต่อปี (ข้อมูลจาก GLOBOCAN 2022) พบบ่อยในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีนและในประเทศไทย คาดว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังอยู่ประมาณ 2-4% ของประชากรไทย อยู่ที่ประมาณ 2 ล้านคน และไวรัสตับอักเสบซีอยู่ที่ประมาณ 0.3-0.6% หรือประมาณ 300,000 กว่าคน
สำหรับแนวทางการกำจัดไวรัสตับอักเสบบี (HBV Elimination Goals) โดยเป้าหมายขององค์การอนามัยโลก (WHO) ตั้งเป้าลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลง 90% ลดอัตราการเสียชีวิตจากไวรัสตับลง 65% ลดทุกอุปสรรคทางสังคม ระบบการเข้าถึงการป้องกัน คัดกรอง และการรักษา แนวทางสำคัญคือ การฉีดวัคซีนป้องกันโรค
เกิดก่อนปี 2535 ฉีดไวรัสตับอักเสบบี
พญ.อัญญา เกียรติวีระศักดิ์ แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ทางเดินอาหารและตับ กล่าวถึง “ไวรัสตับบี” ว่า เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง เป็น DNA virus ที่มีความแข็งแรงอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นาน เป็นเชื้อทำให้ก่อโรคตับอักเสบชนิดบี ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อที่สำคัญของตับ หากเกิดภาวะตับอักเสบทั้งแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง และไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่ภาวะตับแข็งหรือมะเร็งตับได้ในระยะยาว โดยไวรัสตับบีประมาณ 90% ติดจากแม่สู่ลูกตอนคลอด แต่ก็สามารถมาติดตอนโตได้ ผ่านเลือดและสารคัดหลั่งของผู้ที่มีเชื้อ โดยการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน เช่น ใช้เข็มฉีดยาหรือของมีคมร่วมกัน การรับเลือด หรือการปลูกถ่ายอวัยวะ สำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อหรือถ้ายังไม่มีภูมิคุ้มกัน จึงขอแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี และหากเราเป็นพาหะของโรคนี้ ก็ควรหลีกเลี่ยงการบริจาคเลือด
ดังนั้น คนไทยทุกคนควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีอย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต โดยเฉพาะผู้ที่เกิดก่อนปี 2535 เพราะก่อนหน้านั้นยังไม่มีการฉีดวัคซีนไวรัสตับบีในเด็กแรกเกิดอย่างทั่วถึง และยังไม่มีวัคซีนในวัยเด็ก โดยเฉพาะกลุ่ม คนดังต่อไปนี้ คนในครอบครัวเป็นพาหะไวรัสตับบี กลุ่มคู่สมรสหรือคู่นอนของผู้ติดเชื้อ กลุ่มผู้ติดเชื้อ HIV หรือไวรัสตับซี หญิงตั้งครรภ์ควรตรวจทุกคน ในช่วงฝากครรภ์ เพื่อป้องกันการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูก กลุ่มที่อาชีพเสี่ยงสัมผัสเลือด อาทิ บุคลากรทางการแพทย์ พยาบาล ทันตแพทย์ ผู้ดูแลผู้ป่วย และคนที่เคยได้รับเลือด หรือทำหัตถการ เช่น สัก เจาะ ในที่ไม่ได้มาตรฐาน เป็นต้น
ฉีด 3 เข็มกระตุ้นภูมิคุ้มกัน 95%
พญ.กันต์สุดา ปัญจชัยพรพล ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ และแพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ทางเดินอาหารและตับ กล่าวว่า วัคซีนไวรัสตับบี (Hepatitis B vaccine) ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ให้สามารถ ต่อต้านเชื้อไวรัสในอนาคต โดยผู้ที่จะควรได้รับวัคซีนไวรัสตับบี ได้แก่ ทารกแรกเกิด ผู้ใหญ่ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีน หรือไม่มีภูมิคุ้มกัน บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน ผู้ที่อยู่ร่วมบ้านกับผู้ติดเชื้อไวรัสบี ผู้ที่ต้องรับเลือดบ่อย ผู้ป่วยเบาหวาน, ไตวาย, หรือภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นต้น
“วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีจะต้องฉีดด้วยกันทั้งหมด 3 เข็ม เริ่มจากฉีดเข็มแรกเสร็จแล้ว อีก 1 เดือนให้ฉีดเข็มที่สอง จากนั้นอีก 6 เดือนหลังเข็มแรกให้นับเป็นเข็มที่สาม ซึ่งหลังจากรับจนครบจะสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ถึง 95%” พญ.กันต์สุดา กล่าว
ฉีด 1 ครั้งมีภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต
นพ.กฤต หมัดแสละ แพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงเวชศาสตร์การเดินทางและท่องเที่ยว กล่าวเสริมเกี่ยวกับวัคซีนว่า สำหรับคนที่ฉีดวัคซีนไม่ครบ หรือฉีดนานแล้ว ขอแนะนำให้ฉีดเข็มที่เหลือให้ครบ ไม่ต้องเริ่มใหม่ ส่วนผู้ที่ฉีดวัคซีนครบ 10 ปีแล้ว ภูมิอาจลดลงแต่ยังมีภูมิคุ้มกันอยู่ ไม่จำเป็นต้องฉีดซ้ำ เว้นแต่ว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยง และไม่แน่ใจว่าเคยฉีดหรือไม่ ทั้งนี้ ขอแนะนำตรวจเลือด HBsAg + Anti-HBs ก่อนวางแผนฉีดวัคซีน
วัคซีนมีความปลอดภัยสูง
ผู้สื่อข่าวถามว่า วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีมีความปลอดภัยหรือไม่ พญ.กันต์สุดา กล่าวว่า วัคซีนมีความปลอดภัย แม้องค์ประกอบของวัคซีนจะนำส่วนประกอบบางส่วนของเชื้อไวรัสมาผลิต เพื่อฉีดเข้าร่างกายเราในการกระตุ้นภูมิฯ แต่ขอยืนยันว่า มีความปลอดภัยสูง ไม่ก่อโรคแน่นอน และหากมีภูมิต้านทานแล้วจะอยู่ไปตลอดชีวิต ซึ่งการันตีว่า ในชีวิตนี้ไม่ก่อโรคแน่นอน และเป็นการลดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งตับในอนาคตได้
นพ.วรวัฒน์ กล่าวเสริมว่า วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย และมีมานานมากแล้ว มีความปลอดภัยสูง เห็นได้จากการนำเข้าสู่วัคซีนพื้นฐานที่เด็กทารกแรกเกิดทุกคนต้องได้รับ จึงมีความปลอดภัยสูง จึงไม่มีความน่ากลัวใดๆ
เมื่อถามว่าวัคซีนมีราคาเท่าไหร่ พญ.กันต์สุดา กล่าวว่า วัคซีนชนิดนี้ราคาไม่แพงเฉลี่ยเข็มละประมาณ 300 บาท