“มูลนิธิทำทาง” เรียกร้อง! ผู้หญิงทุกคนต้องเข้าถึงการทำแท้งปลอดภัย เผยให้คำปรึกษามากกว่า 300 คนต่อเดือน
“มูลนิธิทำทาง” เรียกร้อง! ผู้หญิงทุกคนต้องเข้าถึงการทำแท้งปลอดภัย เผยให้คำปรึกษามากกว่า 300 คนต่อเดือน ชี้ต้องเร่งแก้ไข “อคติ” ที่เป็นอุปสรรคต่อการให้บริการ เพื่อให้เกิดบริการตามที่กฎหมายกำหนด
การทำแท้งปลอดภัยควรเป็นสิทธิสุขภาพของทุกคน
“การทำแท้ง” ในประเทศไทยถูกกฎหมายและทำให้ใครก็ตามที่ตั้งครรภ์ มีสิทธิเลือก ยุติการตั้งครรภ์อย่าง ‘ปลอดภัย’ ซึ่งถือเป็นสิทธิในการเลือกชีวิตที่ ‘ทุกคน’ ควรจะมีในฐานะมนุษย์ ปัจจุบันประเทศไทยมีสถานบริการทำแท้งปลอดภัยมีเพียง 133 แห่ง จากสถานพยาบาลทั่วประเทศ 1,300 แห่ง แบ่งเป็นรัฐบาล 92 แห่ง และเอกชน 41 แห่ง ซึ่งจะเห็นว่ามีสถานพยาบาลที่รับทำแท้งมีไม่ครบทุกจังหวัด
หลายครั้งอคติของสังคมโดยเฉพาะผู้มีอำนาจและบุคลากรทางการแพทย์ก็กลายเป็นกำแพงที่ทำให้บริการทำแท้งปลอดภัยที่ควรเป็นสิทธิสุขภาพของทุกคนเข้าถึงได้ยาก ซึ่งทำให้การเข้าไม่ถึงการทำแท้งปลอดภัยบับบังคับให้ผู้ตั้งครรภ์ไม่พร้อมแสวงหาวิธีทำแท้งเถื่อนที่แพง ไม่ปลอดภัยและไม่ได้ผลด้วยตัวเอง
เรื่องนี้เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 68 มูลนิธิทําทาง (Tamtang Foundation) เข้ายื่นหนังสือเรียกร้องต่อคณะกรรมการการแพทย์ กองทุนประกันสังคม เพื่อติดตามความคืบหน้าของการบังคับใช้นโยบาย “ทำแท้งถือเป็นสิทธิรักษา” ภายหลังจากสำนักงานประกันสังคมมีประกาศเรื่องแนวทางการให้การดูแลผู้ประกันตนที่มีความจำเป็นต้องได้รับการยุติการตั้งครรภ์ เลขที่ รง 0626/ว2225 ออกมาเมื่อวันที่ 19 ก.พ. นั้น
เร็วๆนี้ นางศรี ไพร นนทรีย์ เจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาฯ มูลนิธิทำทาง เปิดเผยว่า ตนให้คำปรึกษาการยุติตั้งครรภ์ 300-500 คนต่อเดือน มองว่าการยุติตั้งครรภ์มีความสำคัญ เพราะมองว่าไม่มีใครตั้งใจท้อง เพื่อมาทำแท้ง ดังนั้นการท้องไม่พร้อมจึงเป็นความทุกข์แสนสาหัส ความทุกข์มันส่งผลต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ ดังนั้นการยุติการตั้งครรภ์คือการช่วยให้คนที่ไม่พร้อมในการตั้งครรภ์ใช้ชีวิตไปต่อได้ เช่น นักเรียนนักศึกษา ก็สามารถมีอนาคตที่วาดหวังไว้ได้ คนวัยทำงานส่วนใหญ่มีปัญหาด้านเศรษฐกิจ สามารถช่วยให้ชีวิตคนทำงานจมดิ่งกับความจนไปมากกว่านี้ นอกจากปัญหาเศรษฐกิจ เรื่องสิทธิในเนื้อตัวร่างกายของบุคคลที่ตั้งครรภ์ก็ควรได้รับการยอมรับว่าพวกเขาควรมีสิทธิในการตัดสินใจในการยุติการตั้งครรภ์หรือไม่ยุติการตั้งครรภ์
โดยเฉพาะในคนที่มีความต้องการในการยุติการตั้งครรภ์ อันเนื่องมาจากเหตุผลในการดูแลสุขภาพของตนเองด้านร่างกาย จิตใจ และการดูแลคุณภาพชีวิตของตนแอง รวมถึงการวางแผนครอบครัวในการสร้างความพร้อมฐานะความเป็นอยู่ของตนเองและหรือครอบครัว เพื่อชีวิตและความเป็นอยู่ที่มีคุณภาพในปัจจุบันและอนาคต
ปัจจุบันบุคคลที่ตั้งครรภ์สัญชาติไทย สามารถเข้ารับบริการยุติการตั้งครรภ์ได้ ภายใต้งบบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค หรืองบ PP แต่ยังมีสถานบริการน้อยแห่ง มีเป็นบางจังหวัด แต่กรณีผู้ประกันตน เราได้รับการชี้แจงจากผู้ตรวจการซึ่งมาชี้แจงแทนคุณมารศรี เลขาธิการสำนักงานประกันสังคมว่า กรณีผู้ประกันตนจากกองทุนประกันสังคม หากเป็นบุคคลสัญชาติไทย ใช้งบ PP แต่ต้องไปแจ้งโรงพยาบาลตามสิทธิก่อน จากนั้นหากโรงพยาบาลตามสิทธิไม่ยุติให้ รพ.ตามสิทธิจะต้องส่งต่อไปยังสถานบริการอื่นที่ให้บริการ
และในส่วนผู้ประกันตนที่เป็นแรงงานข้ามชาติ ใช้งบประกันสังคมในส่วนของกรณีเจ็บป่วย โดยผู้ประกันตนแรงงานข้ามชาติไปโรงพยาบาลตามสิทธิก่อน เมื่อโรงพยาบาลตามสิทธิไม่มีบริการยุติตั้งครรภ์ก็ต้องออกใบส่งตัวไปใช้สิทธิสถานบริการอื่น โดยโรงพยาบาลประกันสังคมตามสิทธิเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย
ด้านน.ส.ชนฐิตา ไกรศรีกุล ผู้จัดการมูลนิธิทำทาง กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมาตรา 305 ที่แก้ไขเมื่อปี 2564 ได้ออกข้อที่อนุญาตให้ผู้หญิงสามารถทำแท้งได้ถ้าอายุครรภ์ไม่เกินกำหนด ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ ข้อนี้เรามองว่ากฎหมายเข้าใจว่าการเลี้ยงลูกในทรัพยากรจำกัดไม่ใช่เรื่องง่าย และการยุติเพราะไม่พร้อมทางการงานหรือการเงินก็สำคัญไม่น้อยกว่าคนที่ยุติด้วยสาเหตุอื่นๆ
“คนกลุ่มนี้ที่ผ่านมาถูกดูถูกจากสังคมตลอดเวลาว่าถ้าจนทำไมยังมีลูก ทำไมยังปล่อยตัวเองให้ท้อง แต่ไม่ว่าจะเป็นคนจนหรือรวย การคุมกำเนิดก็ไม่มีทางการันตีได้ 100% ทั้งนั้นว่าจะไม่ท้อง การที่เขาตัดสินใจว่าไม่มีลูกดีกว่ามีแล้วเลี้ยงได้ไม่ดีเท่าที่เขาต้องการจะให้ลูกได้ ก็ควรเคารพการตัดสินใจ และมองว่าเขาเข้มแข็งที่ตัดสินใจในสถานการณ์ที่ยากลำบาก” น.ส.ชนฐิตา กล่าว
ทั้งนี้ สำหรับข้อเสนอเพื่อแก้ไขปัญหาคือ
1. ต้องรู้ทันสถานการณ์จริง โดยสำรวจตัวเลขสถารการณ์การทำแท้งที่เป็นจริง ทั้งจำนวนผู้ที่ทำแท้งทั้งหมด ผู้ที่บาดเจ็บ/เสียชีวิตจาการทำแท้งไม่ปลออดภัย รวมถึงตัวอ่อนและทารกที่ถูกทิ้งเนื่องจากเข้าไม่ถึงบริการทำแท้ง
2. ต้องลดอคติ คือ
1) ประชุมวิชาการเพื่ออัพเดทความรู้ให้บุคลากรการแพทย์
2) หน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้อง เช่น ราชวิทยาลัยสูติฯ ต้องสร้างความเข้าใจกับแพทย์
3) เพิ่มหลักสูตรสอบทำแท้งปลอดภัยในโรงเรียนแพทย์ เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่
4) หมอและบุคลาภรทางการแพทย์อื่นๆ ต้องทบทวนอคติที่ตนเองมี พยายามรับฟังให้ข้อมูลและส่งต่อผู้รับบริการได้โดยปราศจากอคติ
3. ต้องขยายบริการ ได้แก่
1) ในระยะสั้น หมอที่ไม่พร้อม/ไม่ต้องการให้บริการ ต้องส่งต่อผู้ตั้งครรภ์ไม่พร้อมไปยังสถานพยาบาลปลายทางให้เร็วที่สุด โดยไม่ตีตราหรือโน้มน้าวให้ท้องต่อ 2) ส่งเสริมระบบจ่ายยาทางไกลผ่านไปรษณีย์ (Telemed) เพื่อเพิ่มจำนวนผู้รับบริการ
3) กรมอมามัยต้องชักซ้อมความเข้าใจกับหน่วยบริการว่าทำแท้งถูกกฎหมายแล้วบุคลากรการแพทย์มีหน้าที่ต้องให้บริการ หรือส่งต่อแบบติดตามดูแลจนจบกระบวนการ
4) รพ. ทั่วไปควรเปิดให้บริการทันที ส่วนจังหวัดที่ไม่มีหมอให้บริการเลยต้องไม่นิ่งเฉยและรับผิดชอบด้วยการจัดสรรงบพิเศษเพื่อเปิดจุดบริการเฉพาะเพิ่มเติม
5) สร้างตัวชี้วัด (KPI) ของ รพ. ในการให้บริการยุติการตั้งครรภ์ เพื่อให้มีแนวปฏิบัติและกลโกการบริการหรือส่งต่อที่มีมาตรฐาน เช่นเดียวกับการรักษาอื่นๆ
6) ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ต้องกำหนดแนวปฏิบัติเรื่องการกำแท้งอย่างปลอดภัย รวมถึงส่งเสริมแพทย์ด้านอื่นๆ ให้บริการทำแท้งปลอดภัย
7) สปสช. ต้องสนับสนุน ให้หน่วยรับเรื่องร้องเรียนตามมาตรา 50(5) เช่น กลุ่มทำทางรับเรื่องร้องเรียนการถูกปฏิเสธ/ละเมิดบริการทำแท้งในสถานบริการเครือข่าย สปสช.
8) ประชาชนต้องมีข้อมูล ดังนั้นรัฐต้องมีเว็บไซต์ให้ความรู้ด้านกฎหมาย สถานบริการสิทธิรับบริการ และข้อเท็จจริงอื่นๆ เกี่ยวกับการทำแท้ง
9) ยกเลิกกฎหมายอาญา ม.301 การทำแท้งต้องไม่ผิดกฎหมายทุกกรณี
อย่างไรก็ตาม หากใครที่ต้องการปรึกษาปัญหาการยุติตั้งครรภ์สามารถติดต่อได้ที่ช่องทางดังนี้
เพจเฟซบุ๊ค คุยกับผู้หญิงที่ทำแท้ง , กลุ่มทำทาง
Twitter @TamtangTH
Tiktok @tamtanggroup
Line @tamtang