“รพ.ลาดบัวหลวง” โชว์โมเดล “IoT” นำร่อง รพ.สต.สิงหานาท ช่วยผู้ป่วยเบาหวาน “หยุดยาสำเร็จ”
รพ.ลาดบัวหลวง โชว์โมเดล “IoT” เชื่อมต่ออุปกรณ์วัดค่าผู้ป่วยเบาหวาน ช่วยแพทย์ติดตามข้อมูลสุขภาพผู้ป่วยแบบเรียลไทม์ พร้อมคืนข้อมูลสุขภาพ ช่วยผู้ป่วยรู้ภาวะโรค ปรับพฤติกรรมดูแลสุขภาพ ลดภาวะแทรกซ้อน นำร่อง รพ.สต.สิงหานาท ผู้ป่วยเบาหวานกว่าครึ่งหยุดยาสำเร็จ
เมื่อวันที่ 21 ก.ค. 68 ที่ผ่านมา นพ.ณรงค์ ถวิลวิสาร รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วย พญ.วรางคณา ทองเปรม รักษาการ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลลาดบัวหลวง ได้นำคณะจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นำโดย ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พร้อมด้วย นพ.สาธิต ทิมขำ ผู้อำนวยการเขต สปสช.เขต 4 สระบุรี และสื่อมวลชน เยี่ยมชมตัวอย่างการนำเครื่องมือ IoT (Internet of Things) มาใช้ในการควบคุมโรคเบาหวานแก่ผู้ป่วย ซึ่งเป็นนวัตกรรมด้านสุขภาพ ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสิงหนาท (รพ.สต.สิงหนาท) ต.สิงหนาท อ.ลาดบัวหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา
ในการนำเครื่องมือ IoT (Internet of Things) มาใช้ในการดูแลผู้ป่วยเบาหวานของที่นี่นั้น เริ่มต้นโดยโรงพยาบาลลาดบัวหลวงที่พัฒนาระบบติดตามสถานะของผู้ป่วยด้วยการใช้เทคโนโลยี IoT ในการตรวจวัด ทำให้ผู้ป่วยและแพทย์ได้ทราบข้อมูลภาวะเบาหวานได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ มีทั้งแถบทดสอบระดับน้ำตาลในเลือด เครื่องวัดความดันโลหิต เครื่องวัดอุณหภูมิ และเครื่องชั่งน้ำหนัก เป็นต้น
ผู้ป่วยและอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จะใช้อุปกรณ์เหล่านี้ตรวจวัดค่าต่างๆ ทุกเดือน ข้อมูลค่าที่วัดได้จะถูกส่งเข้าสู่ระบบของโรงพยาบาล เพื่อให้แพทย์ใช้ในการประมวลผลและส่งกลับไปยัง รพ.สต. และผู้ป่วยเพื่อให้ทราบสถานะโรค ความเสี่ยงเพื่อนำไปสู่การปรับพฤติกรรม ซึ่งในกรณีที่ข้อมูลสุขภาพผิดปกติ ระบบจะแจ้งเตือนแพทย์เพื่อทำการดูแลอย่างเร่งด่วน โดยในอนาคตทางโรงพยาบาลมีการวางแผนเพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการวิเคราะห์ เพื่อคาดการณ์แนวโน้มของสถานการณ์โรคเพื่อกำหนดนโยบายต่อไป
นพ.ณรงค์ กล่าวว่า โครงการควบคุมโรคเบาหวานด้วยอุปกรณ์ IoT เริ่มขึ้นในปี 2565 เพื่อมุ่งแก้ปัญหาการติดตามผู้ป่วยที่มักมีข้อจำกัด ซึ่งเดิมทีแพทย์จะนัดพบผู้ป่วยที่มีระยะห่าง 3-4 เดือน ระหว่างนั้นคุณหมอจะไม่ทราบอาการของผู้ป่วยได้ แต่ด้วยระบบ IoT ซึ่งผู้ป่วยสามารถตรวจวัดค่าต่างๆ ได้เอง รวมถึง อสม. ทำการตรวจ ข้อมูลจากการตรวจผ่านอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อระบบ IoT จะถูกส่งต่อเข้าระบบของโรงพยาบาลทันที ทำให้คุณหมอทราบข้อมูลผู้ป่วยและปรับการรักษาได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยติดเตียงที่เดินทางลำบาก โดยคุณหมอสามารถติดตามอาการหรือปรับยาได้โดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องเดินทางมาโรงพยาบาล ซึ่งในกรณีที่ต้องรับยาก็ให้ลูกหลานมารับยาได้ หรือโรงพยาบาลจัดส่งยาไปให้ที่บ้านผู้ป่วยได้
“ที่สำคัญคือคนที่ยังไม่ป่วย หากมีข้อมูลสุขภาพที่มากเพียงพอ ติดตามค่าต่างๆ ก็ทำให้เกิดความตระหนักในการปรับพฤติกรรม เพื่อลดความเสี่ยงของตัวเองจากโรคได้” รอง สสจ. พระนครศรีอยุธยา กล่าว
พญ.วรางคณา กล่าวว่า ระบบ IoT ได้เปลี่ยนวิธีการดูแลผู้ป่วยเชิงรับ เป็น เชิงรุก ที่สำคัญคือทำให้ผู้ป่วยได้เป็นเจ้าของสุขภาพของตัวเอง โดยใช้อุปกรณ์ IoT ดูแลสุขภาพและได้รับข้อมูลประมวลผลว่าสถานะสุขภาพของตนเองเป็นอย่างไร และควรทำอย่างไรต่อไป ขณะเดียวกันบุคลากรทางการแพทย์ก็สามารถเข้าถึงข้อมูลและเข้าไปช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที หากเกิดความผิดปกติหรือภาวะวิกฤต ซึ่งนวัตกรรมนี้เป็นการเปลี่ยนบทบาท วิธีคิด และแนวคิดในการดูแลผู้ป่วย และจะเป็นอนาคตของการดูแลผู้ป่วยต่อไป
นายประยุทธ ไตรสารศรี ผู้อำนวยการ รพ.สต.สิงหนาท กล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยเข้าร่วมโครงการแล้ว 18 คน ซึ่งผู้ป่วยจะทำการตรวจวัดค่าต่าง ๆ ด้วยตนเอง (Self-monitoring) ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข มีการประมวลผลและให้คำแนะนำในการปรับพฤติกรรม เช่น การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์, ลดของทอด ของหวาน ของเค็ม, ลดปริมาณแป้ง, ปรับเวลาการรับประทาน, งดทานของจุกจิก และทำ IF (Intermittent Fasting) 16 ชั่วโมง รวมถึงการออกกำลังกาย ซึ่งจากผลการติดตามสุขภาพและการปรับพฤติกรรม พบว่าผู้ป่วย 10 คน หรือร้อยละ56 สามารถหยุดยาได้ และอีก 4 คน หรือร้อยละ 22 สามารถลดการใช้ยาลงได้ ส่วนผู้ป่วยที่เหลืออีก 4 คน ยังคงใช้ยาในปริมาณเท่าเดิม
ด้าน ทพ.อรรถพร กล่าวภายหลังการเยี่ยมชมว่า ตามนโยบายของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนโยบายของ สปสช. ได้ให้ความสำคัญกับการควบคุมโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรม และนำไปสู่โรคไตได้ หากไม่ควบคุม ซึ่ง สปสช. อยู่ระหว่างการเฟ้นหาพื้นที่ที่มีนวัตกรรมการจัดการควบคุมโรคเรื้อรังได้เป็นอย่างดี เพื่อขยายสู่ระดับประเทศ ซึ่งโรงพยาบาลลาดบัวหลวงและ รพ.สต.สิงหนาท ก็เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่มีความโดดเด่นในการนำอุปกรณ์ IoT เข้ามาใช้ในการติดตามข้อมูลสุขภาพ ทำให้ผู้ป่วยเห็นว่าค่าตัวเลขสุขภาพของตัวเอง เพื่อช่วยในการดูแลตัวเองได้ดีขึ้น
“จากที่เยี่ยมชมและรับทราบข้อมูลในครั้งนี้ ขอชื่นชมการนำนวัตกรรม IoT มาใช้ และวิธีการนี้สามารถขยายไปยังทุกๆ พื้นที่ จากผลที่ รพ.ลาดบัวหลวงทำได้ผลลัพธ์ที่ดี และประชาชนได้รับการดูแลที่ดีขึ้น ซึ่ง สปสช. จะมีทีมงานเข้ามาทำงานร่วมกับในพื้นที่เพื่อให้การสนับสนุนในเชิงลึกให้มากขึ้นด้วย” รองเลขาธิการ สปสช. กล่าว