วันที่ 22 มิ.ย. 66 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข กล่าวภายหลังรับมอบวัคซีนโควิด-19 ชนิดวัคซีนไบโอเอ็นเทค (ไฟเซอร์) รุ่นไบวาเลนท์ จากสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี โดยมีนายเก-ออร์ก ชมิดท์ เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำประเทศไทย เป็นผู้แทนส่งมอบ ว่าไทยและเยอรมนีมีความสัมพันธ์มายาวนานกว่า 160 ปี มีความร่วมมือครอบคลุมหลายด้านอย่างแน่นแฟ้น เช่น การทูต เศรษฐกิจ การศึกษา สิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีและนวัตกรรม การเกษตร รวมถึงด้านการแพทย์และสาธารณสุข ที่มีความร่วมมือในภูมิภาคอาเซียนผ่านโครงการ “เสริมสร้างการประสานงานของอาเซียนเพื่อตอบโต้และรับมือกับการระบาดใหญ่ของโควิด-19 และเหตุฉุกเฉินอื่นๆ ในด้านสาธารณสุข”

ทั้งนี้ เยอรมนีได้สนับสนุนและช่วยเหลือประเทศไทยในช่วงสถานการณ์โควิด-19 มาแล้ว 2 ครั้ง ได้แก่ ยารักษาอาการโควิด-19 โมโนโคลนอลแอนติบอดี (Casirivimab/Imdevimab) จำนวน 2 พันยูนิต และวัคซีนแอสตราเซเนกา 346,100 โด๊ส พร้อมตู้แช่แข็งอุณหภูมิต่ำเพื่อจัดเก็บวัคซีน 4 ตู้ เข็มฉีดยาและกระบอกฉีดยาแบบ Loe Dead Space กว่า 5.1 หมื่นชุด ทำให้สามารถนำมาช่วยดูแลประชาชนในช่วงเวลาวิกฤติได้

สำหรับการสนับสนุนประเทศไทยวันนี้เป็นครั้งที่ 3 ได้มอบวัคซีนไบโอเอ็นเทค (ไฟเซอร์) รุ่นไบวาเลนท์ 999,360 โด๊ส แสดงถึงน้ำใจที่ยิ่งใหญ่จากมิตรประเทศ ทำให้เรามีความมั่นคงด้านวัคซีนมากขึ้น โดยจากนี้จะมีการตรวจสอบคุณภาพวัคซีนและกระจายไปยังพื้นที่ เพื่อสนับสนุนนโยบายการฉีดวัคซีนโควิดประจำปีต่อไป คาดว่าจะถึงทุกหน่วยบริการภายในสิ้นเดือน มิ.ย. นี้

“แม้องค์การอนามัยโลก จะยกเลิกการประกาศให้โรคโควิด-19 เป็นเหตุฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ แต่โควิด-19 ไม่ได้หายไปไหน ยังเป็นโรคหนึ่งที่ต้องเฝ้าระวัง และได้แนะนำให้แต่ละประเทศจัดบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ประชาชน เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเสี่ยง คือ ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เป็นต้น ประเทศไทยจึงจัดให้มีการฉีดวัคซีนโควิด-19 เป็นวัคซีนประจำปี สามารถฉีดร่วมกับวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ได้ เริ่มให้บริการตั้งแต่เดือน พ.ค. ที่ผ่านมา เพื่อลดอาการป่วยหนักและเสียชีวิต” นายอนุทิน กล่าว