“สมศักดิ์” กำชับสปสช. ช่วยผู้ป่วยมะเร็งปมคลินิกบัตรทองไม่มีเงิน ย้ำรัฐไม่มีนโยบาย “ร่วมจ่าย”
รมว.สาธารณสุข กำชับ สปสช.หางบเพิ่ม! ดูแลผู้ป่วยมะเร็ง เคลียร์ปมคลินิกบัตรทองกทม.เงินไม่พอ หากทำไม่ได้เสนอบอร์ดสปสช.ร่วมแก้ปัญหา ส่วนกรณีหมอขอนแก่นห่วงระบบสาธารณสุข ขอให้เสนอข้อมูลข้อเสนอมายัง “คกก.ศึกษาต้นทุน” มีเลขานุการรมว.สธ.เป็นประธาน ร่วมกันหาทางออก ย้ำชัด! รัฐไม่มีนโยบายร่วมจ่าย
เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 68 ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุขถึงกรณีการติดตามปัญหาผู้ป่วยบัตรทองได้รับผลกระทบจากคลินิกชุมชนอบอุ่นบางแห่งไม่ส่งต่อผู้ป่วยมะเร็ง และระบุว่าได้รับเงินเหมาจ่ายรายหัวจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) หัวละ 10 บาทต่อคนต่อเดือน ทำให้ไม่สามารถส่งต่อไปยังโรงพยาบาลได้
หากเงินไม่พอต้องหางบเพิ่ม
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า สปสช.จัดสรรงบประมาณให้แก่คลินิกชุมชนอบอุ่นแบบงบประมาณปลายปิด ซึ่งได้จัดสรรไปแล้ว สมมติมีผู้เจ็บป่วย 1 แสนครั้งได้ครั้งละ 500 บาท แต่หากป่วยถึง 2 แสนครั้งก็จะเหลือ 250 บาท ดังนั้น หากมีเคสเกิดขึ้นมากก็เป็นหน้าที่ของ สปสช.ต้องหาเงินมาเติมให้ หากไม่ได้ก็ต้องนำเรื่องมาหารือในคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(บอร์ดสปสช.) เพื่อหาทางแก้ไข
พร้อมรับข้อเสนอนักวิชาการห่วงใยระบบสาธารณสุข
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณี ผอ.โรงพยาบาลศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความห่วงใยและตั้งคำถามว่า “ระบบสาธารณสุข จะรอดหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า อย่างที่เคยให้ข้อมูลสื่อมวลชนไปแล้วว่า ตนได้ตั้งคณะกรรมการศึกษาต้นทุน โดยมีนายกิตติกร โล่สุนทร เลขานุการรมว.สธ.เป็นประธาน ซึ่งประชุมกันครั้งที่ 2 แล้ว เพื่อพิจารณาถึงต้นทุนแต่ละโรคที่เราต้องติดตาม ซึ่งก็ทำควบคู่กันไปกับการทำงานของ สปสช. โดยเอาข้อมูลมาเปรียบเทียบเพื่อให้ผู้รู้ นักวิชาการที่ห่วงใยเรื่องนี้ สามารถเสนอความคิดเห็นผ่านคณะกรรมการชุดนี้ได้
เมื่อถามกรณีมีข้อเสนอแยกงบประมาณของคลินิกและโรงพยาบาลรับส่งต่อออกจากกัน นายสมศักดิ์ กล่าวว่า สามารถไปเสนอต่อสปสช.เลยก็ได้ หรือเสนอต่อคณะกรรมการชุดนี้ก็ได้
ย้ำบทบาทหน้าที่คกก.ศึกษาหาต้นทุน ปมคลินิก-รพ.-สปสช.
ถามย้ำถึงการทำงานของคณะกรรมการชุดดังกล่าวว่า จะเป็นการทบทวนพิจารณาต้นทุนใหม่ใช่หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เป็นการศึกษาเพื่อให้ทราบข้อมูลต้นทุนที่ดำเนินการตรงนี้ เพื่อให้เปรียบเทียบ เช่น เรื่องมะเร็งที่ต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลสังกัดมหาวิทยาลัย หรือกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (UhosNet) ซึ่งยาที่ใช้เป็นตัวใหม่มีราคาสูง ก็อาจต้องพิจารณาว่า ยังไม่ควรใช้ เพราะราคาสูง แต่บางท่านบอกมีความจำเป็น ดังนั้น ก็ต้องมาคุยกันว่า จำเป็นอย่างไร ซึ่งก็จะทำให้ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้เปิดเผยต่อสาธารณะรับรู้ ซึ่งเรื่องนี้จะไม่ทำโดยลำพัง
รัฐบาลไม่มีนโยบาย ร่วมจ่าย
เมื่อถามข้อเสนอ “ร่วมจ่าย” ที่อาจมีส่วนช่วยระบบสาธารณสุข นายสมศักดิ์ กล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลไม่มีคำว่า “ร่วมจ่าย” แต่จะใช้อย่างฟุ่มเฟือยหรือไม่ ซึ่งตอบไม่ได้ แต่จะให้สาธารณะช่วยกันพิจารณา
ถามต่อว่าจนบัดนี้ผู้ป่วยพื้นที่กทม.ได้รับผลกระทบมาก ประสาน 1330 ยังไม่สามารถช่วยได้ เพราะสุดท้ายยังต้องการใบส่งตัว และคลินิกบางที่ไม่ส่งระบุว่าไม่มีเงินเพียงพอ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องนี้สปสช.จะเข้าไปดูแล อย่างผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบ ในการประชุมผู้บริหารครั้งนี้มีผู้แทนสปสช.เข้าร่วม ซึ่งก็จะรับเรื่องนี้ไป
รวมกองทุนสุขภาพ
เมื่อถามว่าเพราะปัญหาบัตรทองยังมี ทำให้มีบางส่วนว่ายังไม่ควรรวมสามกองทุนสุขภาพ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องรวมกองทุนสุขภาพ ตนไม่ได้เป็นผู้ตัดสินใจ เป็นเรื่องของกฎหมาย อย่างกองทุนบัตรทอง ออกมาทีหลัง แต่พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพฯ มีมาตราหนึ่งระบุว่า เมื่อตั้งกองทุนให้สามารถหารือระหว่างกองทุน หากผลเป็นอย่างไรก็สรุปครม.
เดินหน้าพัฒนารพ.สธ.มีศักยภาพด้านมะเร็ง
ถามถึงความคืบหน้าการพัฒนารพ.ในสังกัดสธ.มีศักยภาพด้านมะเร็ง เพื่อรองรับ CA anywhere นายสมศักดิ์ การพัฒนาตรงนี้ทำในวันเดียวไม่ได้ แต่เมื่อวานตนได้พูดคุยกับทางอธิบดีกรมการแพทย์ ถึงเครื่องมือที่ทันสมัย แต่ปัญหาคือ เครื่องมือเหล่านี้ซื้อเร็วก็แพง อีกไม่กี่ปีก็ราคาลง ก็ต้องดูหลายปัจจัย แต่ไม่ซื้อก็ไม่ได้ ต้องดูความจำเป็น
“ต้องดูว่าเรามีความร่ำรวยพอในการลงทุนหรือไม่ แต่ไม่ใช่ไม่ทำอะไร เรื่องการลงทุนเราต้องดำเนินการ เราต้องแก้ปัญหา ปล่อยไว้ไม่ได้ การแก้ปัญหาจะทำแบบพลิกฝ่ามือคงไม่ได้ ต้องมีเวลา” รมว.สาธารณสุขกล่าว