ชู “รพ.พิจิตร” ต้นแบบดูแลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังครบวงจร ดันนโยบาย PD First ลดภาระระบบสุขภาพ

สปสช. ยก “รพ.พิจิตร” บูรณาการภาคีเครือข่ายในพื้นที่ สร้างระบบดูแล “ผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง” ครบวงจร ได้รับ “บำบัดทดแทนไต” เหมาะสมตามสภาวะ ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้ผู้ป่วย พร้อมลดค่าใช้จ่ายให้กับระบบบริการสุขภาพ
เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2568 พญ.ลลิตยา กองคำ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พร้อมด้วย พญ.ชัญวลี ศรีสุโข อนุกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน สปสช. เขต 3 นครสวรรค์ และกรรมการแพทยสภา และนางนิภาภัทร คงโต ผู้อำนวยการกลุ่ม สปสช. เขต 3 นครสวรรค์ ลงพื้นที่โรงพยาบาลพิจิตร อ.เมือง จ.พิจิตร เมื่อวันที่ 14 ก.ค. ที่ผ่านมา เพื่อเยี่ยมชมการจัดระบบบริการดูแลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) เพื่อให้ได้รับบริการที่เหมาะสมกับสภาวะของผู้ป่วย โดยมี นพ.โชติ ภาวศุทธิกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพิจิตร และ นพ.สมบูรณ์ จีนาพงษา อายุรแพทย์โรคไต โรงพยาบาลพิจิตร และคณะกรรมการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) สาขาโรคไต เขตสุขภาพที่ 3 ให้การต้อนรับและร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูล
นพ.สมบูรณ์ กล่าวว่า จ.พิจิตรมีประชากรราว 5.3 แสนคน พบผู้ป่วยโรคไตทุกระยะประมาณ 5 หมื่นราย หรือ 10% ของประชากร โดยระยะที่ 3 มีมากที่สุด 52% ระยะที่ 4 ราว 12.9% และระยะที่ 5 ซึ่งต้องบำบัดทดแทนไต 3% ซึ่งการดูแลผู้ป่วยใช้ระบบภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยมี รพ.พิจิตรเป็นศูนย์กลาง เชื่อมโยงการทำงานกับทีมสหสาขาวิชาชีพ ได้แก่ แพทย์เฉพาะทาง พยาบาลคลินิกโรคไต พยาบาลฟอกเลือด-ล้างไต นักโภชนาการ นักกายภาพบำบัด รพ.สต. และ อสม. ทำให้การดูแลผู้ป่วยมีความครบวงจรและต่อเนื่อง

นอกจากการให้บริการบำบัดทดแทนไตแล้ว ทุกวันอังคารทางโรงพยาบาลจะนัดตรวจติดตาม พร้อมกับมีทีมเยี่ยมบ้านผู้ป่วยล้างไต และยังมีการจัดทีมลงไปสนับสนุนเครือข่ายการให้บริการในพื้นที่ด้วย โดยมีอายุรแพทย์โรคไตสัญจร เดือนละ 2 ครั้ง ไปยังโรงพยาบาลแม่ข่าย 2 แห่ง คือ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชตะพานหิน และโรงพยาบาลบางมูลนาก รวมถึงมีทีม Service Plan สาขาไต เวียนสัญจรไปยังโรงพยาบาลชุมชนเดือนละ 1 แห่ง เพื่อเปิดคลินิกดูแลผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง (CKD Clinic) โดยให้บริการคัดกรอง ให้ความรู้ในการชะลอไตเสื่อม และแนะนำวิธีการบำบัดทดแทนไตที่เหมาะสมกับผู้ป่วย
นพ.สมบูรณ์ กล่าวว่า สำหรับผลการให้บริการปี 2568 ที่ผ่านมา โรงพยาบาลพิจิตรให้บริการผู้ป่วยไตทั้งหมด 743 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องด้วยตนเอง (CAPD) 248 ราย และผู้ป่วยที่ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (HD) 495 ราย สำหรับในกลุ่มผู้ป่วยรายใหม่มีจำนวน 93 ราย แบ่งเป็น ผู้ป่วยฟอกเลือด 22 ราย ผู้ป่วยล้างไต 71 ราย นอกจากนี้ยังมีผู้ป่วยไตที่รับการดูแลแบบประคับประคอง ประมาณ 30 ราย และลงทะเบียนรอปลูกถ่ายไต (KT) 50 ราย ทั้งนี้หากเปรียบเทียบข้อมูลตั้งแต่ปี 2565 ที่ใช้นโยบายล้างไตเป็นการยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง (Pateint Center Care) เป็นต้นมา ตัวเลขปี 2568 พบว่าเป็นไปในทิศทางที่ดี โดยผู้ป่วยล้างไตมีจำนวนเพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้ป่วยฟอกเลือดมีแนวโน้มที่ลดลง
อายุรแพทย์โรคไต โรงพยาบาลพิจิตร กล่าวว่า หลังเปลี่ยนนโยบายในปี 2565 พบว่าผู้ป่วยเลือกฟอกเลือดเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อภาระค่าใช้จ่ายและบริการ เนื่องจากหน่วยฟอกเลือดในพื้นที่มีจำกัด ขณะที่ทีม CAPD ของโรงพยาบาลมีความพร้อม จึงมีการปรับระบบ ให้ข้อมูลผู้ป่วยเรื่องข้อดี-ข้อเสียของแต่ละวิธี เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสม ส่งผลให้ปี 2567 ผู้เลือกฟอกเลือดลดลง ขณะที่ผู้ล้างไตเพิ่มขึ้น และในปี 2568 ระบบนี้ยิ่งมีประสิทธิภาพ เพราะสอดรับกับนโยบาย “PD First” ของ สปสช.

ด้าน พญ.ลลิตยา กล่าวว่า จ.พิจิตรมีจุดเด่นในการดูแลผู้ป่วยไตแบบครบวงจร โดยมีโรงพยาบาลพิจิตรเป็นแกนกลางในการเชื่อมโยงเครือข่ายบริการทั้งจังหวัด นอกจากทำให้บริการบำบัดทดแทนไตในจังหวัดทำได้ครบทั้ง 4 วิธีแล้ว ยังทำให้ผู้ป่วยได้รับการบำบัดทดแทนไตที่เหมาะสม โดยมีการให้ข้อมูลทางเลือกการบำบัดผู้ป่วยล่วงหน้า เพื่อเตรียมความพร้อมและเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตนเองได้อย่างมั่นใจ ซึ่งในส่วนของบริการล้างไตทางช่องท้องด้วยตนเองและด้วยเครื่องอัตโนมัติ แม้จะเป็นการทำเองที่บ้าน แต่ทางโรงพยาบาลจะมีทีมลงไปคอยดูแลผู้ป่วย หากผู้ป่วยมีปัญหาการล้างไตที่บ้านก็มีระบบพร้อมให้คำปรึกษาผ่านทางไลน์ หรือ โทร. สอบถามได้
“โรงพยาบาลพิจิตรเป็นพื้นที่พิเศษในการวางระบบ ทำให้ผู้ป่วยไตได้รับการบำบัดทดแทนไตอย่างเหมาะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพตั้งแต่ก่อนที่ สปสช. จะประกาศใช้นโยบายล้างไตทางช่องท้องทางเลือกแรก (PD first) เมื่อปี 2567 เพราะมีการวางในการดูแลผู้ป่วยในทิศทางนี้อยู่แล้ว ซึ่งหากดูตัวเลขผู้ป่วยไตที่รับการบำบัดทดแทนไตตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา จะพบว่าสัดส่วนผู้ป่วยไตที่รับการฟอกเลือดไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นมาก และหลายปีต่อมายังลดลงด้วย ส่วนผู้ป่วยไตที่เลือกรับการล้างไตก็ไม่ได้ลดลงมากนัก แต่กลับค่อยๆ มีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเมื่อ สปสช. มีการออกแนวปฏิบัติที่ชัดเจนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายเป็น PD first เมื่อ 1 เม.ย. 2568” รองเลขาธิกา สปสช. กล่าว

พญ.ลลิตยา กล่าวอีกว่า ในบริบทของ จ.พิจิตร การเปลี่ยนแปลงนโยบายของ สปสช. จึงเป็นการช่วยสนับสนุนให้การดูแลผู้ป่วยไตในพื้นที่ยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งการที่ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายได้รับการบำบัดทดแทนไตในวิธีที่เหมาะสม ไปจนถึงการที่ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังในระยะที่ 4 ได้รับการดูแล และเข้าสู่กระบวนการชะลอไตเสื่อม ที่เดิมทางโรงพยาบาลมีการทำในส่วนนี้ได้อย่างดีจนสามารถยืดเวลาให้ผู้ป่วยหลายคนไม่ต้องเข้ารับการบำบัดทดแทนไต โดยบางรายยืดได้นานถึง 4 ปี ซึ่งช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้ป่วย และยังช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับระบบบริการ