สปสช. ชวน องค์กรรัฐ-เอกชน จัดทำ “โครงการขอรับถุงยางอนามัย” ช่วยกันยุติปัญหาเอดส์
สปสช. ชวน องค์กรรัฐ-เอกชน ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติยุติปัญหาเอดส์ ผ่าน “โครงการขอรับการสนับสนุนถุงยางอนามัย” บริการสร้างเสริมป้องกัน กองทุนบัตรทอง ไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อจัดกิจกรรม “รณรงค์ให้ความรู้เรื่อง “เอชไอวี/เอดส์ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์” ลดอัตราการติดเชื้อและแพร่กระจายของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2568 ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ประมาณ 5.4 – 5.6 แสนคน ในจำนวนนี้กว่า 4.5 แสนคน มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) สิ่งที่น่ากังวลคือผู้ติดเชื้อรายใหม่มีอายุน้อยลง โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 15–24 ปี ที่มีสัดส่วนสูงกว่าร้อยละ 50 ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งหมด นอกจากนี้ยังพบโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น โรคซิฟิลิสและหนองใน ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมทางเพศที่ไม่ปลอดภัย เช่น การเริ่มมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย และการไม่ใช้ถุงยางอนามัย เนื่องจากขาดความรู้ความเข้าใจ หรือมีทัศนคติว่าการใช้ถุงยางไม่จำเป็นเมื่อมีความไว้วางใจในคู่รัก อีกทั้งผู้ติดเชื้อจำนวนมากไม่รู้ตัว ทำให้แพร่เชื้อต่อไปโดยไม่ตั้งใจ
แม้ว่า สปสช. จะมีสิทธิประโยชน์ด้านการป้องกันโรค เช่น การแจกถุงยางอนามัยในหน่วยบริการระบบบัตรทอง รวมถึงการทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและภาคีเครือข่ายสุขภาพเพื่อรณรงค์ แต่ยังจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม ดังนั้น สปสช. จึงเชิญชวนหน่วยงานและองค์กรทั้งรัฐและเอกชน เสนอ “โครงการเพื่อขอรับถุงยางอนามัย” โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อนำไปใช้ในกิจกรรมรณรงค์ ป้องกัน และให้ความรู้แก่ประชาชนในพื้นที่
ล่าสุด สปสช. ได้มอบถุงยางอนามัย 3,200 ชิ้น ให้กับคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เพื่อนำไปใช้ในกิจกรรมสร้างความรู้แก่เยาวชนและประชาชนทั่วไป นอกจากนี้ยังเปิดกว้างให้สถานประกอบการที่มีพนักงานจำนวนมาก องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาสังคม โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยว สามารถยื่นขอรับถุงยางฟรีเพื่อนำไปใช้ในกิจกรรมรณรงค์และแจกจ่ายได้
“การเข้าร่วมโครงการนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของหน่วยงานในการดูแลสุขภาพของชุมชนและเยาวชน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างสังคมที่ปลอดภัยและมีสุขภาพดี อีกทั้งยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดี และมีส่วนร่วมในยุทธศาสตร์ชาติยุติปัญหาเอดส์ภายในปี 2573 นอกจากนี้ การจัดทำโครงการขอรับถุงยางอนามัยยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของหน่วยงาน ทำให้สามารถนำนโยบายและงบประมาณไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆ ได้ เช่น การอบรมหรือพัฒนาสื่อให้ความรู้” รองเลขาธิการ สปสช. กล่าว
ทพ.อรรถพร กล่าวต่อว่า สำหรับประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป ขอรับถุงยางอนามัยได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ที่หน่วยบริการในระบบบัตรทอง ได้แก่ โรงพยาบาลของรัฐ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ศูนย์สุขภาพชุมชนเมือง ศูนย์บริการสาธารณสุข กทม. คลินิกชุมชนอบอุ่น รวมถึงร้านยาที่เข้าร่วมโครงการ สปสช. ซึ่งมีสัญลักษณ์ “ร้านยาคุณภาพของฉัน” นอกจากนี้ยังสามารถกดรับได้ผ่านเมนู “กระเป๋าสุขภาพ” บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง หรือในบางพื้นที่ เช่น โรงพยาบาลเมืองพัทยาและท่าเรือแหลมบาลีฮาย ที่มีตู้จ่ายถุงยางอนามัยอัตโนมัติ
สปสช. ชวนหน่วยงานและองค์กร ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ขับเคลื่อน “ยุทธศาสตร์ชาติยุติปัญหาเอดส์” ร่วมจัดทำ “โครงการขอรับการสนับสนุนถุงยางอนามัย” บริการสร้างเสริมป้องกัน กองทุนบัตรทอง ไม่เสียค่าใช้จ่าย รณรงค์ให้ความรู้ “เอชไอวี/เอดส์ – โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์” สู่การป้องกัน ลดการแพร่กระจายโรค