กรมอนามัย ออกแนวทางจัดการ “กลิ่นจากซากศพ” ป้องกันโรคระบาดชายแดน
กองอนามัยฉุกเฉิน กรมอนามัย ออกแนวทางจัดการกลิ่นจากซากต่างๆ ป้องกันโรคระบาดพื้นที่ชายแดนไทยกัมพูชา ชี้ “กลิ่นศพ” สร้างความรำคาน เสี่ยงก่อความวิตก หวาดกลัวระยะยาว กำลังใจ
ตามที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบหมายให้กรมอนามัย ดูแลในในเรื่องของกลิ่น และสิ่งแวดล้อมบริเวณชายแดนที่มีสถานการณ์สู้รบไทย-กัมพูชา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคระบาดจากซากมนุษย์ หรือซากต่างๆ
ล่าสุดเมื่อวันที่ 4 ส.ค. 68 พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย ให้สัมภาษณ์ว่า ก่อนหน้านี้กรมอนามัยได้รับข้อมูลจากพื้นที่ที่มีการสู้รบว่า มีปัญหาเรื่องกลิ่น ซึ่งแน่นอนว่า เป็นพื้นที่อันตราย เราไม่สามารถเข้าไปได้ และไม่แนะนำให้ประชาชนเข้าไปเพราะฝ่ายทหารจะมีการกำกับดูแล ดังนั้นกลุ่มที่เราเป็นห่วงคือพี่น้องทหารของเรา ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่อาจจะได้รับผลกระทบ ทางกรมจึงได้มีการหารือกันถึงการให้แนวทางในการจัดการกับเรื่องนี้ ซึ่งขณะนี้ทางกองอนามัยฉุกเฉิน ได้มีการออกแนวทางการจัดการกลิ่นเหม็นจากศพ โดยให้ใช้ปูนขาว หรือน้ำยาฆ่าเชื่อ หรือสารฟอกขาวโรยไปยังศพ เพื่อลลดกลิ่นเหม็นจากศพ และป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค ให้เร่งประสานกัมพูชาเพื่อให้มีการเคลื่อนย้าย และนำศพไปจัดการตามพิธีทางศาสนาโดยทันที
ส่วนการป้องกันการเกิดโรคระบาดที่อาจมาจากสัตว์พาหะและแมลงนำโรคกัดแทะ หรือไต่ตอมศพ คำแนะนำคอื ในส่วนของทหารเราก็ต้องป้องกันตนเองไม่ให้แมลงหรือสัตว์พาหะ กัดร่างกาย อาจเลือกใช้ยาทาป้องกันแมลง หรือสวมเสื้อผ้าให้มิดชิด, การป้องกันการปนเปื้อนในแหล่งน้ำ งดการนำน้ำจากแหล่งน้ำใกล้เคียงมาใช้ หากพบว่าน้ำมีความเสียงปนเปื้อนสารคัดหลังจากศพลงแหล่งน้ำ แต่ในกรณีการปนปื้อนในแหล่งน้ำใต้ดินเนืองจากศพเป็นสารอินทรีย์ที่ย่อยสลาย การปนเปื้อนจึงเป็นไปตามธรรมชาติ แต่เพื่อเป็นการป้องกันเบื้องต้นขอให้มีการปรับปรุงคุณภาพน้ำในพื้นที่ เช่น น้ำใต้ดิน ประปาชุมชน ด้วยการเติมคลอรีนให้ได้มาตรฐานไม่น้อยกว่า 0.2 ถึง 0.5 มิลลิกรัม ต่อลูกบาศก์เมตร หรือการต้มที่อุณหภูมิไม่น้อยกว่า 100 องศาเซลเซียส เพื่อฆ่าเชื้อโรค ส่วนการจัดการกับกลิ่นนั้นให้ใช้หน้ากาก N95 เพื่อป้องกันเชื้อโรคในอากาศ หรือหน้ากากผงถ่านกัมมันต์
“ในแง่ของสุขภาพกาย โดยเฉพาะกลิ่นที่รุนแรง จะสะท้อนรัศมีการอยู่ห่างไกลจากซากที่มีการเน่าเหม็น หากอยู่ไม่ไกล กลิ่นที่ได้รับมาจากแก๊ซจากการหมัก หากได้รับในอากาศเปิดอาจไม่ได้รับผลกระทบ แต่ก่อให้เกิดความรำคาญ แต่หากอยู่ไกล อาจจะมีผลกระทบจากสัตว์ หรือแมลง ที่ไปกินหรือคลุกกับซากนั้นก็อาจจะทำให้เกิดการแพร่โรคได้ หรือบางครั้งก็ไหลเซาะไปตามแหล่งน้ำ” พญ. อัมพร กล่าว
เมื่อถามว่า นอกจากผลกระทบทางกาย และก่อความรำคาญแล้ว การอยู่กับกลิ่นศพมนุษย์มีผลกระทบทั้งทางใจอย่างไรบ้าง พญ.อัมพร กล่าวว่า กลิ่นนี้เป็นที่รบกวนจิตใจแน่นอน แม้แต่กลิ่นในโรงงานขนมปัง หรือโรงงานกาแฟ เมื่ออยู่กับกลิ่นนั้นต่อเนื่องไปนานๆ หลายคนยังเกิดความรู้สึกรำคาญ และเป็นปัญหาในมิติการสาธารณสุข ดังนั้นในแง่ของกลิ่นเน่าเปื่อยยิ่งมีการรบกวนมากกว่าหลายเท่า ยิ่งเมื่อเชื่อมร้อยกับปรากฏการณ์การรับรู้ความสูญเสียชีวิตในภาวะสงครามก็จะยิ่งเชื่อมโยงกับความรู้สึกตระหนก หวาดกลัว วิตกกังวล ต่างๆ ได้ง่าย จึงต้องดูแลตัวเอง ดูแลกันเอง และช่วยกันป้องกันในด้านต่างๆ ที่เราแนะนำกันไป
“เรื่องกลิ่นมีผลกระทบมาก ทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ ที่น่าวิตกกังวล มีความกดดันสูง ไม่ว่าจะเป็นภาพ เสียง กลิ่น หรือแม้แต่สัมผัสบางชนิดก็จะทำให้เกิดเป็นความทรงจำที่สร้างความหวาดกลัวต่อเนื่องระยะยาว หรือสร้างความรู้สึกด้านลบอื่นใดได้ในระยะยาวเหมือนกัน พวกเราทุกคนก็ส่งกำลังใจและพยายามเสนอแนวทางช่วยเหลือพี่น้องทหารให้มากที่สุด แต่ทหารไทยเข้มแข็ง และเตรียมการทางด้านร่างกาย และจิตใจที่ดีมากๆ ซึ่งแรงช่วยเหลือ และความห่วงใยจากแนวหลังก็ทำให้ทหารยิ่งมีกำลังใจที่ดี ทำให้เผชิญเหตุต่างๆ ได้ดีขึ้น แต่เราก็ไม่อยากให้พี่น้องทหารต้องไปเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ เราอยากให้คืนสู่ปกติโดยเร็ว” พญ.อัมพร กล่าว
แนะวิธีลดกลิ่นและเชื้อโรคจากซากสิ่งมีชีวิต
นพ.ธิติ แสวงธรรม รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าวเบื้องต้น กลิ่นซากสิ่งมีชีวิตจะเกิดขึ้นภายหลังจากสิ่งมีชีวิตได้เสียชีวิตลงไปแล้วประมาณ 3 วันและกลิ่นจะหายไปตามระยะเวลา โดยปกติซากสิ่งมีชีวิตจะย่อยสลายได้ภายใน 8 – 11 เดือน ดังนั้น ในช่วงเวลานี้ จึงทำให้ประชาชนยังคงได้รับกลิ่นเหม็นรบกวนอยู่อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม การจัดการซากสิ่งมีชีวิตอาจจะต้องคำนึงถึงเรื่องของระบบบริหารจัดการภาวะฉุกเฉิน เพื่อเน้นถึงความปลอดภัยของทีมเจ้าหน้าที่ที่ต้องลงปฏิบัติหน้าที่ในด่านหน้าเป็นสำคัญ ซึ่งตามหลักวิชาการแล้วการจัดการปัญหากลิ่นซากสิ่งมีชีวิต สามารถทำได้โดยการฝังกลบซากหรือการใช้ปูนขาวโรยไปยังซากที่ส่งกลิ่น เพื่อป้องกันไม่ให้มีกลิ่นรบกวนและป้องกันการเกิดเชื้อโรคกระจายไปในพื้นที่ได้ นอกจากนี้ การป้องกันปัญหาโรคระบาดหรือโรคติดต่อที่มาจากซากสิ่งมีชีวิตสามารถดำเนินการได้โดยการป้องกันสัตว์และแมลงนำโรค ไม่ให้บินมาตอมบนร่างกาย ตลอดจนอาหารและแหล่งน้ำที่อาจทำให้เกิดโรคระบาดได้
ดังนั้น ประชาชนและเจ้าหน้าที่ที่อยู่ด่านหน้าจึงควรเลือกรับประทานอาหารปรุงสุกใหม่ ทราบแหล่งที่มาของอาหารที่ชัดเจน ตลอดจนการใช้น้ำสะอาด โดยน้ำใช้ต้องมีคลอรีนอิสระคงเหลือในน้ำมีค่าระหว่าง 0.2 ถึง 0.5 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรค นอกจากนี้ แนะนำให้เจ้าหน้าที่และประชาชนสวมเสื้อผ้าปิดมิดชิด เพื่อป้องกันแมลงนำโรคต่าง ๆ เข้ามากัด จนทำให้เกิดโรคระบาดได้ โดยอาจใช้ยากันยุงหรือสวมเสื้อผ้าปกคลุมร่างกายโดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืนที่มีแมลงและสัตว์พาหะ
ด้าน นายภิญญาพัชญ์ จุลสุข ผู้อำนวยการกองอำนวยฉุกเฉิน กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการจัดการเรื่องกลิ่นเหม็นรบกวน สามารถดำเนินการได้โดยการใช้หน้ากาก N95 ซึ่งสามารถป้องกันได้ทั้งกลิ่นรบกวนและเชื้อโรคที่ปนเปื้อนมาในอากาศ ทั้งนี้ การเลือกใช้หน้ากาก N95 อาจส่งผลต่อความไม่สบายตัวหรือทำให้เกิดการหายใจลำบาก จึงควรพิจารณาถอดหน้ากากเป็นระยะ เพื่อช่วยเรื่องของการหายใจที่คล่องขึ้น หรือ
กรณีที่ไม่มีหน้ากาก N95 สามารถเลือกใช้หน้ากากอนามัย 2 ชั้น สามารถลดกลิ่นเหม็นจากซากสิ่งมีชีวิตได้ อย่างไรก็ตาม กรมอนามัย ได้จัดส่งหน้ากาก N95 ให้กับทีมเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานหน้าด่านที่ได้รับผลกระทบจากกลิ่นซากสิ่งมีชีวิต เพื่อลดความเสี่ยงจากเชื้อโรคและป้องกันปัญหากลิ่นเหม็นรบกวนต่อไป