“ถ้าจะขับ = ห้ามดื่ม” สังคมไทยเรียนรู้จากบทเรียนคดี “มารี เบิร์นเนอร์” สู่แผนแห่งชาติถนนปลอดภัย
กรณี “มารี เบิร์นเนอร์” ปฏิเสธตรวจแอลกอฮอล์ ไม่ใช่แค่เหตุการณ์ดาราดัง แต่คือบทเรียนใหญ่ที่เปิดทางสังคมไทยทบทวนกติกาใหม่ ศวส.–ศวปถ.–สคอ. หนุนแผนปฏิบัติการแห่งชาติ มุ่งสร้างวัฒนธรรมรับผิดชอบบนท้องถนน ด้วยกติกาชัดเจน “ถ้าจะขับ = ห้ามดื่ม”
คืนวันที่ 24 ส.ค. 68 กลายเป็นจุดเริ่มต้นของบทสนทนาใหญ่ในสังคมไทย เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.วังทองหลางตั้งด่านตรวจแอลกอฮอล์บนถนนประดิษฐ์มนูธรรม และพบรถยนต์พอร์ชสีเขียวขับโดยนางสาวมารี เบิร์นเนอร์ นักแสดงชื่อดัง ซึ่งมีอาการคล้ายมึนเมา เจ้าหน้าที่ขอให้เป่าวัดแอลกอฮอล์ตามขั้นตอน แต่เธอปฏิเสธหลายครั้ง โดยอ้างว่าต้องการเข้าห้องน้ำก่อน แม้จะมีการเจรจาอย่างสุภาพและยึดหลักกฎหมายจากเจ้าหน้าที่ แต่สถานการณ์กลับตึงเครียดเมื่อชายที่โดยสารมาด้วยแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม ใช้ถ้อยคำหยาบคาย และอ้างความสัมพันธ์กับบุคคลระดับสูงในราชการ
สุดท้ายเจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวทั้งสองไปยัง สน.วังทองหลาง และแจ้งข้อหา “ขับรถขณะเมาสุรา” ตามมาตรา 43(2) แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 เนื่องจากปฏิเสธการตรวจวัดแอลกอฮอล์ โดยผู้ต้องหาได้รับการประกันตัว และจะถูกส่งฟ้องศาลแขวงรัชดาตามกระบวนการ เหตุการณ์นี้จุดประกายกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอย่างกว้างขวาง ทั้งในแง่พฤติกรรมของบุคคลสาธารณะและการบังคับใช้กฎหมาย แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็สะท้อนถึงความเข้มแข็งของระบบตรวจสอบที่โปร่งใส และความตั้งใจของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการรักษาความปลอดภัยสาธารณะอย่างไม่เลือกปฏิบัติ
ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.)และศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) ได้ออกมายืนยันร่วมกันว่า ประเทศไทยควรเดินหน้าสามมาตรการสำคัญ 3 ด้านไปพร้อมกัน ได้แก่
1) ต้นน้ำ : สร้างกติกาที่เข้าใจง่าย “ถ้าจะขับ = ห้ามดื่ม”
2) กลางน้ำ : ระบบสุ่มตรวจแอลกอฮอล์ได้ทุกที่–ทุกเวลา (Random Breath Testing: RBT) เพื่อยับยั้งการดื่มแล้วขับอย่างได้ผลจริง
3) ปลายน้ำ : มุ่งเน้นการตรวจสอบประวัติกระทำผิดซ้ำเมาแล้วขับทุกคดี หากปฏิเสธเป่าวัดแอลกอฮอล์ต้องทำสำนวนเสนอต่อศาลให้ลงโทษหนัก
นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน ( ศวปถ.) กล่าวว่า ทุกคดีเมาแล้วขับต้องมีการตรวจประวัติกระทำผิดซ้ำ และหากปฏิเสธเป่าตรวจวัดแอลกอฮอล์ต้องเพิ่มโทษหนัก พร้อมเสนอให้มีแผนปฏิบัติการแห่งชาติ ‘ถ้าจะขับ = ห้ามดื่ม’ โดยเน้นการสุ่มตรวจทั่วเมือง วางแผนความถี่–ช่วงเวลา–พื้นที่เสี่ยง และประเมินผลรายไตรมาส พร้อมเสนอให้รัฐสนับสนุนเครื่องมือ เช่น เครื่องตรวจพกพา กล้องติดตัว และการสื่อสารอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ในการดื่มก่อนขับอย่างเป็นรูปธรรม
รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) กล่าวว่า “กติกาที่ชัดเจนและการสุ่มตรวจที่คาดเดาไม่ได้ คือวิธีที่ยุติธรรมและปกป้องชีวิตได้จริง” พร้อมเสนอเป้าหมายเริ่มต้น “ตรวจเฉลี่ยอย่างน้อย 1 ครั้งต่อผู้ถือใบขับขี่ 1 คนต่อปี” เพื่อสร้างแรงยับยั้งทั้งระบบ
ด้าน นายพรหมมินทร์ กัณธิยะ ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ. ) กล่าวว่า ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากปัญหาดื่มแล้วขับมาอย่างต่อเนื่อง เป็นอันดับต้นต้นๆของอุบัติเหตุทางถนน หลายครอบครัวต้องสูญเสียผู้นำ หัวหน้าครอบครัว ญาติหรือคนที่รัก เด็กกำพร้าและคนพิการคือร่องรอยที่คนดื่มแล้วขับทิ้งไว้เกือบทุกคืน การที่ตำรวจออกมาเข้มงวดกวดขัน หวังว่าจะช่วยลดความสูญเสียในสังคมไทย มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายให้มีความชัดเจนและมีประสิทธิภาพดียิ่ง หากคนมีชื่อเสียง ร่ำรวย ยังมีวิธีคิดแบบเดิมๆ ไม่ยอมให้ความร่วมมือหรือดื้อด้านมองผู้ปฏิบัติงานในหน้าที่ในทางที่ผิดเท่ากับกำลังซ้ำเติม ขยายวงความสูญเสียให้มากยิ่งขึ้น ไม่ควรปล่อยให้อยู่เหนือกฎหมาย สมควรต้องลงโทษสูงสุดมิให้เป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดีต่อไป
กรณีของมารี เบิร์นเนอร์จึงไม่ใช่เพียงเหตุการณ์เฉพาะบุคคล แต่เป็นบทเรียนสำคัญที่เปิดโอกาสให้สังคมไทยได้ทบทวนกติกาแห่งความปลอดภัย และร่วมกันสร้างวัฒนธรรมการขับขี่ที่รับผิดชอบ เพื่อให้ทุกชีวิตบนท้องถนนได้รับการปกป้องอย่างเท่าเทียม