เผยเคล็ดลับวิธีดูแล “ส้นเท้าแตก” บอกเลยใครว่าเป็นเรื่องเล่นๆ
“ส้นเท้าแตก” เป็นสภาวะที่หนังกำพร้าบริเวณส้นเท้า แห้งทำให้แตกได้ เพราะขาดความชุ่มชื้น แตกลายงา ส้นเท้านั้นจะค่อนข้างหนา ส้นเท้านั้นจะรับน้ำหนักของเราตลอดเวลา ยิ่งถ้าเดินมากๆ โอกาสที่จะทำให้ส้นเท้าแตกได้ง่าย ส่วนใหญ่มักจะเห็นได้ง่ายในคนอ้วนมากกว่าคนผอม ตลอดทั้งคนที่ชอบไม่ใส่รองเท้า คนที่ใส่รองเท้าแตะหรือรองเท้าลักษณะแบบเปิดส้นเท้า รวมถึงกรรมพันธุ์ก็ทำให้ส้นเท้าแตกเช่นเดียว
อาการของ ส้นเท้าแตก ในระยะแรกส้นเท้าจะมีการบวมแดง เมื่อทั้งไว้นานๆ โดยไม่ดูแลรักษา จะเริ่มแตกเป็นรอยเล็กๆ และจะลึกขึ้นไปเรื่อยๆ จนอาจถึงขั้นแตกเป็นรอยเลือด ทำให้เวลาเดินจะรู้สึกแสบและทรมานมาก ดังนั้นควรรีบรักษาตั้งแต่เริ่มต้น เพราะอาการจะหนักขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่เราปล่อยผ่านไป
วิธีการรักษาส้นเท้าแตก
1. เมื่อมีการส้นเท้าแตก ให้ใส่รองเท้าปิดส้น
2. สวมถุงเท้าก่อนนอนทุกคืน เพื่อเป็นการรักษาความชุ่มชื้น ของส้นเท้า
3. ใช้เปลือกกล้วยหอม มาถูบริเวณส้นเท้าที่แตก นาน 10 นาที กรดที่อยู่ในกล้วยจะช่วยสมานผิวที่แตกและลอกผิวที่แตกออก เป็นการสมานผิวไปในตัว ให้ทำแบบนี้สัปดาห์ละ 2 -3 ครั้ง
4. แช่เท้าในน้ำอุ่นก่อนนอนทุก ๆ คืน ประมาณ 15 นาที 2-3 ครั้ง / สัปดาห์ แล้วให้ถูส้นเท้าเบา เพื่อให้เนื้อที่แตกออกหลุดออกไป จากนั้นเช็ดให้แห้ง ทาครีม ให้ชุ่มชื้น
5. แช่เท้าในน้ำมะนาว ประมาณวันละ 15 นาที โดยอาจจะใช้เป็นน้ำมะนาวแบบขวดที่คั้นมาแล้วก็ได้
6. แช่เท้าในน้ำส้มสายชู ผสมน้ำยาบ้วนปาก และน้ำอุ่น ประมาณ 15 นาที ก็ช่วยได้เช่นกัน
7. ให้ทาครีมเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของส้นเท้าที่แตก ให้เป็นประจำทุกวันทุกคืน และให้ทาบ่อยๆ เท่าที่เราต้องการ
8. หากทำทุกวิธีแล้วแต่ยังไม่หาย และยังมีรอยเลือดแตกอักเสบอยู่ ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อดำเนินการรักษาต่อไป
วิธีการป้องกันอย่างไร
1. ให้ใส่ถุงเท้าในเวลานอนเป็นประจำทุกคืน
2. ให้เลือกใส่รองเท้าที่เหมาะสมกับรูปร่างเท้า ไม่คับไม่หลวมจนเกินไป
3. ควรทาครีมหรือน้ำมันมะกอก ที่ส้นเท้าเป็นประจำทุกวัน ทุกคืน เพื่อเป็นการป้องส้นเท้าแตก
4. ขณะที่อยู่ในบ้านหรือในที่ทำงาน ควรใส่รองเท้าขนสัตว์ที่นุ่ม ๆ มาสวมใส่ เพื่อเป็นการลดแรงกระแทกของส้นเท้า และรักษาความชุ่มชื้น เป็นการป้องกันความเย็นที่จะทำให้ส้นเท้าแตกได้
5. สำหรับคนที่อ้วนให้พยายามลดน้ำหนัก ส้นเท้าจะไม่ต้องรับน้ำหนักมากจนเกินไป