ลุ้น! กม.คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ “ลาคลอด 120 วัน-เพิ่มสิทธิคู่สมรส” เข้าสู่การพิจารณาส.ว.
32 ปีแห่งการต่อสู้ของแรงงานหญิงใกล้ถึงบทสรุป ร่างกฎหมายคุ้มครองแรงงานฉบับแก้ไข เพิ่มสิทธิลาคลอดเป็น 120 วัน เพิ่มวันลาคู่สมรสและกรณีลูกป่วย พร้อมคุ้มครองลูกจ้างเหมาบริการภาครัฐ หลังผ่านสภาผู้แทนฯ ฉลุย เข้าสู่การพิจารณาวุฒิสภา ท่ามกลางข้อเสนอผลักดันสู่มาตรฐาน WHO 180 วัน
เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 68 ที่ผ่านมา เครือข่ายขับเคลื่อนลาคลอด 180 วันและการคุ้มครองลูกจ้างภาครัฐ จัดประชุมประเด็นการเพิ่มสิทธิประโยชน์การขยายวันลาคลอด โดยมี นายบัณฑิต แป้นวิเศษ มูลนิธิเพื่อนหญิง และคณะทำงานขับเคลื่อนลาคลอด 180วันและการคุ้มครองลูกจ้างภาครัฐ นายชินโชติ แสงสังข์ ประธานอนุกรรมาธิการการแรงงานด้านประกันสังคม สมาชิกวุฒิ วาสนา ลำดี จากเครือข่ายแรงงานและสิทธิเด็กเท่ากัน ดร.กฤษฎา ธีระโกศลพงษ์ อาจารย์ประจำคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ฯลฯ
ทั้งนี้ การขับเคลื่อนเพิ่มสิทธิการลาคลอดบุตรและคุ้มครองลูกจ้างภาครัฐเดินทางมาถึงจุดสำคัญ หลังสภาผู้แทนราษฎรมีมติผ่านร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับแก้ไขปรับปรุงครั้งที่ 2) พ.ศ. … ซึ่งมีสาระสำคัญคือ ขยายสิทธิลาคลอดจาก 90 วันเป็น 120 วัน เพิ่มสิทธิลาอีก 15 วันในกรณีลูกป่วยหรือพิการ และให้คู่สมรสลางานได้ 15 วัน รวมทั้งขยายความคุ้มครองถึงลูกจ้างเหมาบริการภาครัฐทุกประเภท
ร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นผลจากการผลักดันร่วมของเครือข่ายแรงงาน เครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชนด้านเด็กและสตรี นักวิชาการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอด 32 ปีของการเรียกร้อง ตั้งแต่ได้สิทธิ 90 วันในปี 2533 โดยเฉพาะในช่วงปี 2565–2568 มีการผลักดันอย่างเข้มข้น ทั้งจากพรรคการเมืองและกระทรวงแรงงาน จนนำไปสู่ร่างฉบับปัจจุบัน ปัจจุบัน ประเทศไทยมีแรงงานหญิงราว 18.6 ล้านคน และผู้ใช้สิทธิลาคลอดในระบบประกันสังคมปี 2568 จำนวน 15,495 คน ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้ลาคลอดอย่างน้อย 180 วันเพื่อประโยชน์ต่อพัฒนาการเด็กและสุขภาพแม่ แต่ไทยยังอยู่ต่ำกว่ามาตรฐานดังกล่าว
สำหรับการพิจารณามาตรา 4 ให้ยกเลิกความในมาตรา 41 และ ม.4/ 1 รวมกับ ม. 5 เรื่องให้ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์มีสิทธิลาเพื่อคลอดบุตรครรภ์หนึ่งไม่เกินหนึ่งร้อยยี่สิบวัน หรือตามจำนวนวันที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาและให้ลูกจ้างหญิงลาเพิ่มได้อีก 15 วันทำงาน ถ้าลูกที่คลอดออกมาแล้วเจ็บป่วย หรือพิการ รวมถึงให้คู่สมรสลางานมาช่วยเลี้ยงดูบุตรได้ด้วย 15 วันทำงาน สุดท้ายการพิจารณา วาระ 3 สภาเห็นชอบกับร่าง พรบ.คุ้มครองแรงงานฯ แก้ไขฉบับนี้ และให้นำส่งเข้าสู่การพิจารณาในชั้นวุฒิสภา
อีกรอบของการขับเคลื่อนกฎหมายลาคลอดฯ ในชั้น สว.
จัดเสวนา เรื่อง กม.คุ้มครองแรงงาน ว่าด้วยการลาคลอดฯในมือสว. วันที่ 7 สิงหาคม 2568 คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยการจัดเสวนาร่วมกันของเครือข่ายขับเคลื่อนลาคลอด 180 วัน และการคุ้มครองลูกจ้างภาครัฐเหมาบริการ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) การเสวนาครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่การฟังเสียง สว.แรงงาน กมธ.สายเด็ก สตรี และนักวิชาการแรงงาน ที่เข้าไปทำหน้าที่ ร่วมกับ สมาชิกวุฒิสภา และผู้เชี่ยวชาญที่ถูกตั้งขึ้นมาพิจาณา กม.นี้ ในชั้น สว.การเสวนาครั้งนี้ ดำเนินการโดย ดร.ศุธาฎา เมฆาวงศกุล นักวิชาการด้านความเสมอภาคระหว่างเพศ
ดร.กฤษฎา ธีระโกศลพงษ์ อ.ประจำคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. มองว่า ไทยให้ลาคลอดได้ 98 วัน แต่ได้เงินชดเชยจริงแค่ 8 วัน ประเทศที่ให้ค่าชดเชยมากๆ บางประเทศเก็บเงินสมทบประกันสังคมสูงถึงร้อยละ 15 แต่ไทยเก็บแค่ร้อยละ 5 กรมอนามัยเคยบอกว่า 180 วันสำคัญต่อพัฒนาการของเด็ก แต่จริง ๆ ก็ยังไม่พอ เมื่อ 70 – 80 ปีก่อนพูดถึงให้ใช้เวลา 1 ปีก็มี แต่ในทางปฏิบัติจะลาขนาดนั้นไม่ได้ แรงงานนอกระบบประกันสังคมก็ไม่มีเงินชดเชยเลย เราจึงจะพูดถึงคนในระบบประกันสังคม ม.33 เป็นหลัก สภาพแวดล้อมในไทยไม่เอื้อให้ลาคลอดนานเพราะนายจ้างไม่มีระบบชดเชยที่ดี ทำให้เพื่อนร่วมงานต้องกดดันให้รีบกลับมาทำงาน
สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่วันลาแต่ต้องมีห้องให้นม เพราะการพัฒนาเด็กจะส่งเสริมให้เกิดผลิตภาพในอนาคต ผู้หญิงไทยมีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพการงานน้อยกว่าผู้ชาย ขาดการคุ้มครองทางสังคม โอกาสทางการศึกษาก็ต่ำกว่าทำให้โอกาสเข้าทำงานน้อยกว่า ผู้หญิงมักไม่ได้ขึ้นเป็นผู้บริหารระดับสูง จึงต้องออกแบบการคุ้มครองทั้งแรงงานในและนอกระบบ
นางสาววาสนา ลำดี จากเครือข่ายแรงงานและสิทธิเด็กเท่ากัน เรียกร้องเรื่องวันลาคลอดมานานแล้วแต่ก็ได้แค่ 8 วันและยังเรียกร้องเรื่องห้องเลี้ยงเด็กการต้องมาบีบนมแม่ใส่ขวดเพื่อเก็บไว้ป้อนลูกก็ไม่ผูกพันเท่าการให้กินนมแม่จริง ตอนนี้เมื่อพ้นช่วงลาคลอดแล้วก็ไม่รู้จะให้ใครเลี้ยง ถ้าจะส่งไปให้พ่อแม่ที่ต่างจังหวัดก็ลำบาก เพราะปู่ย่าตายายก็ต้องทำไร่ทำสวนเลี้ยงชีพกฎหมายพูดแต่เรื่องการลาคลอดแต่ไม่พูดเรื่องเด็กประกันสังคมอาจมีเรื่องการสงเคราะห์บุตรแต่ก็ยังไม่เพียงพอและยังมีการแบ่งแยกให้คนบางกลุ่มได้แต่บางกลุ่มไม่ได้ไม่เท่าเทียมคนจึงยังคิดว่าการมีบุตรเป็นปัญหาจึงไม่มีดีกว่าไปเลี้ยงสัตว์แทนจึงต้องส่งเสริมการเลี้ยงบุตรอีกหลายแบบมีการวางแผนและจัดการที่เด็กสามารถอยู่กับพ่อแม่ได้ด้วยจึงอาจมีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กใกล้บ้านหรือสถานที่ทำงานอยู่ภายในพื้นที่อุตสาหกรรมหรืออาจอยู่รวมๆกันนอกพื้นที่แล้วให้สถานประกอบการช่วยดูแลเด็ก
ด้าน นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย กรรมาธิการการแรงงาน สมาชิกวุฒิสภา(สว.) มองว่า วันนี้ กมธ. วิสามัญฯ จะพิจารณาพรบ.คุ้มครองแรงงานด้วยว่าจะคุ้มครองประเด็นใดบ้างแรงงานเอกชนได้รับความคุ้มครองแน่นอนแต่ที่จริงแรงงานไม่ว่าในรูปแบบใดก็ต้องได้รับการคุ้มครองขั้นต่ำเช่นสิทธิการลาคลอดการพักผ่อนและวันหยุดต่างๆก็ต้องได้เท่ากันด้วยแต่ถ้าจะให้ดีก็ควรใส่การคุ้มครองไว้ในกฎหมายเพราะจะไม่ผันแปรไปตามนโยบายรัฐบาลปีที่แล้วกมธ.การแรงงานวุฒิสภาได้เชิญตัวแทนองค์การอนามัยโลก (WHO) ประเทศไทย มาอธิบายความสำคัญของการลาคลอด 180 วัน
ซึ่ง กมธ. ทุกคนเห็นด้วย แต่กมธ.อื่น ๆโดยเฉพาะสายธุรกิจจะไม่เห็นด้วยเพราะอ้างว่าได้รับผลกระทบโดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและย่อมซึ่งทางองค์การอนามัยโลกก็อธิบายว่าเรื่องค่าชดเชยมีทั้งที่รัฐจ่ายและนายจ้างจ่ายในสัดส่วนต่างๆกันโจทย์ที่ใหญ่กวาคือจำนวนประชากรอีก 70 ปีข้างหน้าถ้าอัตราการเกิดต่ำกว่า 1 ล้านคนเท่าเดิมคนไทยจะลดลงเหลือ 30 ล้านคนหากไม่นำเข้าประชากรย้ายถิ่นหรือให้สิทธิลูกหลานของแรงงานข้ามชาติได้เป็นคนไทยก็ต้องส่งเสริมให้คนไทยมีลูก เพราะตนเองก็ไม่มีลูกเพราะกลัวเป็นหนี้ จึงต้องผลักดันสิทธิลาคลอด 180 วัน
ด้านนายชินโชติ แสงสังข์ ประธานอนุกรรมาธิการการแรงงานด้านประกันสังคม สมาชิกวุฒิ ได้กล่าวว่า ตนเรียกร้องเรื่องการลาคลอด180วันในทุกเวทีพรบ.ฉบับนี้ไม่ใช่รัฐประทานมาให้หรือได้มาจากความใจดีของกลุ่มใดแต่มาจากการต่อสู้เรียกร้องของแรงงานไทยมานาน32ปีตั้งแต่ปี 2536 จากที่ปี 2533ได้มา 90 วันลูกจ้างหญิงใส่ชุดคลุมท้องเดินเท้าเปล่าไปที่ท้องสนามหลวงและรัฐสภาเดิม ได้มา 120 วันตนพอใจระดับหนึ่ง แต่ที่สมเหตุสมผลควรเป็น 180 วัน เดิมนายจ้างและประกันสังคมจ่ายค่าจ้างฝ่ายละ 45 วัน รวมเป็น 90 วัน ที่เหลืออีก 8 วันไม่ได้ค่าจ้าง ที่ตนเรียกร้องให้เพิ่มจาก 90 วัน เป็น 180 วัน
อาจารย์แล ดิลกวิทยรัตน์ ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการแรงงาน สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า ตนสอนหนังสือมา52ปีสอนที่คณะนี้10ปีพวกเรานักวิชาการศึกษาสิ่งที่ควรเป็นมุ่งหน้าเข้าหาดวงดาวที่สดใสที่สุดแม้จะไกลแค่ไหนแต่ในโลกแห่งความเป็นจริงสิ่งที่ควรเป็นกับสิ่งที่เป็นไปได้อยู่ห่างกันมากไม่มีใครคัดค้านการลาคลอด180วันหน่วยงานต่างๆก็เช่นกันไม่มีเหตุผลที่จะขัดข้องแต่เมื่อเข้าสู่สภาก็เป็นโลกความเป็นจริงเราไม่ได้อยู่ในห้วงอวกาศที่ไม่มีอุปสรรคแต่ต้องต่อสู้กับต่างฝ่ายที่อำนาจต่อรองไม่เท่ากัน ซึ่งไม่ได้ตัดสินด้วยเหตุผลแต่ด้วยอำนาจต่อรองเวลาที่เรียกร้องค่าจ้างขั้นต่ำนายจ้างไม่เคยเถียงเรื่องค่าครองชีพหรือลูกจ้างไม่ได้เดือดร้อน แต่อ้างว่าให้ไม่ได้เพราะธุรกิจไม่ดีวิสาหกิจขนาดกลางและย่อมก็อ้างว่าจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำไม่ไหวมาตลอด
สุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง มูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคมและรองโฆษก กมธ.วิสามัญพิจารณา พรบ.ฯ กล่าวว่า ตอนที่ไปแก้เรื่องลาคลอดเป็น98วันทุกคนก็ลืมว่าจะให้ใครจ่าย8วันที่เหลือตอนหลังสส.จึงมาแก้เป็น120วันและยังเพิ่มวันลาให้คู่สมรสและกรณีเด็กป่วยกฎหมายนี้หากไม่เสนอแก้ในชั้นวุฒิสภาเลยก็จะผ่านเร็วมากแต่ก็ต้องเสนอแก้ไว้ให้มีการบันทึกหลักการและข้อสังเกตไว้บ้างแต่ยังดีที่กฎหมายนี้เป็นกฎหมายการเงินจึงมีกรอบให้ต้องรีบพิจารณาโดยเร็ว
นายบัณฑิต แป้นวิเศษ มูลนิธิเพื่อนหญิง และคณะทำงานขับเคลื่อนลาคลอด 180 วันและการคุ้มครองลูกจ้างภาครัฐ กล่าวสรุปว่า 32 ปี กับการเดินทางเพิ่มสิทธิประโยชน์การขยายวันลาคลอดที่ต้องล้อกับการแก้ไขในกฎหมายคุ้มครองแรงงาน จึงเป็นเรื่องที่ประชาชนทั้งประเทศ กำลังจับตามอง ว่าสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) จะสนับสนุนโดยเร่งผ่านกฎหมายนี้ฯให้กับแรงงานหญิง ครอบครัว และการสร้างแรงจูงใจให้กับคนหนุ่มสาววัยแรงงาน ให้พวกเขาอยากมีลูก มีครอบครัวที่มีคุณภาพ นับเป็นเรื่องท้าทาย ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายคุ้มครองแรงงานฯ ชั้นวุฒิสภา และสมาชิกวุฒิสภา จะออกแรง ส่งใจ ร่วมสร้างประวัติศาสตร์ไทยในการเร่งให้มีการออกกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ฉบับที่ ว่าด้วยการลาคลอด 180 วัน และการคุ้มรองลูกจ้างภาครัฐฯอย่างเร่งด่วนที่สุด