ผู้ว่าฯ ตรัง ยันพบโอมิครอน BA.2.75 รายเดียว รักษาหายแล้ว เผยที่มาแหล่งติดเชื้อ
วันที่ 20 ก.ค.65 นายขจรศักดิ์ เจริญโสภา ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง กล่าวถึงกรณีที่จังหวัดตรัง พบผู้ป่วยโควิด ติดเชื้อโอไมครอน สายพันธุ์ย่อย BA.2.75 เป็นรายแรกในประเทศไทย ว่า จากรายงานของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตรัง พบว่า ผู้ป่วยรายนี้ เป็นชาย อายุ 53 ปี ชาว อ.เมืองตรัง มีอาชีพเป็นนักธุรกิจที่ จ.สุราษฎร์ธานี
โดยไปรับเชื้อมาจากแถวๆ ป่าตอง จ.ภูเก็ต ในงานประชุมแห่งหนึ่ง ซึ่งมีชาวต่างชาติหลากหลายคนมาร่วมด้วย เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา ก่อนที่จะพบว่า ตัวเองติดเชื้อโควิด เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. หลังจากมีอาการไอ เจ็บคอ และสงสัยว่าจะติดโควิด จึงเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งใน จ.ตรัง และตรวจ RT-PCR เพื่อนำผลไปเคลมต่อประกัน ปรากฏว่า ผลเป็นบวก
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดชายรายนี้หายจากอาการป่วยโควิดแล้ว นับตั้งแต่เมื่อปลายเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ส่วนบุคคลรอบข้างก็ไม่พบว่ามีผู้ใดเสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่ม เนื่องจากชายรายนี้ได้ระมัดระวังตัวเองเป็นอย่างดี นับตั้งแต่กลับมาจาก จ.ภูเก็ต จนกระทั่งรู้ตัวเองว่าป่วย ดังนั้น ในส่วนของ จ.ตรัง จึงไม่น่าจะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก
แต่ในส่วนของจังหวัดอื่น โดยเฉพาะผู้ที่ไปร่วมงานประชุมที่ จ.ภูเก็ต กรณีเดียวกับชายใน จ.ตรังรายนี้ จำเป็นต้องรีบไปพบแพทย์ และตรวจ RT-PCR โดยเร็ว เนื่องจากถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงสุด เพื่อป้องกันเชื้อแพร่กระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ รวมทั้งเร่งรับวัคซีนเข็มกระตุ้น เพราะขนาดผู้ป่วยชายใน จ.ตรัง จะฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อโควิดถึง 3 เข็มแล้ว ก็ยังติดเชื้อโอไมครอน สายพันธุ์ย่อย BA.2.75 ได้อีก
ขณะเดียวกัน วันนี้ที่ศูนย์ประชุมเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตตรัง ทางโรงพยาบาลโรคผิวหนังเขตร้อนภาคใต้ จ.ตรัง ได้ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตรัง โรงพยาบาลตรัง และสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดตรัง ประสานไปยังบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองชาว จ.ตรัง เพื่อขอให้เร่งนำบุตรหลาน อายุ 5-11 ปี มาเข้ารับการฉัดวัคซีนเข็มแรก และเข็มที่ 2 กันอย่างคึกคัก
โดยในรอบนี้ทางจังหวัดตั้งเป้าการฉีดวัคซีนให้เด็กในกลุ่มดังกล่าว ซึ่งแจ้งลงทะเบียนล่วงหน้าไว้แล้วประมาณ 2,600 คน เพื่อเร่งสร้างภูมิคุ้มกัน หลังจากเปิดการเรียนการสอนในห้องเรียนตามปกติ และเด็กๆ มีการพบปะอยู่ร่วมกันภายในโรงเรียนเป็นจำนวนมาก ประกอบกับขณะนี้พบว่า เชื้อโควิด อาจกลับมาระบาดซ้ำในระลอกใหม่ ซึ่งล่าสุดมีเด็กฉีดวัคซีนเข็ม 1-2 ไปแล้วประมาณ 80% แต่กลุ่ม 608 ยังฉีดฉีดวัคซีนน้อย เพียงแค่ประมาณ 20% เท่านั้น