WHO แนะให้จับตาระบาด “โควิด” จากน้ำเสีย
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ชาติสมาชิกเฝ้าระวังการระบาดโควิด-19 จากน้ำเสีย (Wastewater Surveillance) ผนวกกับการเฝ้าระวังจีโนมิกส์ (Genomic Surveillance) เพื่อ “ชะลอ” หรือ “ซื้อเวลา”การแพร่ระบาดของโควิด-19 หรือโรคอุบัติใหม่ในอนาคต
การระบาดใหญ่ไปทั่วโลก (Pandemic) ของโควิด-19 ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อยืนยัน 768,237,788 คน เสียชีวิต 6,951,677 คน
เปรียบได้กับคลื่นยักษ์สึนามิที่พุ่งเข้าหาฝั่ง ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีเทคโนโลยีของมนุษย์ที่สามารถยับยั้งคลื่นสึนามิเข้ากระทบฝั่งได้ เช่นเดียวกับการระบาดของโควิด-19 ที่เรายังไม่สามารถลดความรุนแรงของการระบาดของโรคลงได้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนหลายล้านคน แต่สามารถชะลอความรวดเร็วของการระบาดของโควิด-19 ลงได้เพื่อให้ระบบการรักษาผู้ติดเชื้อในสถานพยาบาลของประเทศมีจำนวนเตียงและอุปกรณ์สำคัญ เช่นถังออกซิเจนรองรับผู้ป่วยได้พอเพียง ทำให้ลดการเจ็บป่วยที่รุนแรง และช่วยชีวิตผู้ป่วยโรคโควิด-19 ได้เป็นจำนวนมาก
การชะลอหรือซื้อเวลา (delay or buy time) สำหรับการระบาดของ COVID-19 นั้นเกี่ยวข้องกับการใช้มาตรการและกลยุทธ์การป้องกันต่าง ๆ เพื่อชะลอการแพร่กระจายของไวรัสอันจะส่งผลให้สามารถลดจำนวนผู้ป่วยรุนแรงและเสียชีวิตลงได้อย่างมีนัยสำคัญ หนึ่งในมาตรการนั้นคือการเฝ้าระวังโควิด-19 จากน้ำเสีย
การตรวจหาโควิด-19 ในน้ำเสียและการเฝ้าระวังจีโนมิกส์ในชุมชนจะชะลอหรือซื้อเวลาสำหรับการระบาดของ โควิด-19 เป็นวิธีที่ทางองค์การอนามัยโลกเห็นสมควรและแนะนำชาติสมาชิกดำเนินการเนื่องจากมีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยป้องกันระบบการรักษาผู้ติดเชื้อในสถานพยาบาลของประเทศมิให้ล้มเหลว ลดภาระการเจ็บป่วยที่รุนแรง และช่วยรักษาชีวิตผู้คน
การเฝ้าระวังโควิด-19 จากน้ำเสียได้กลายเป็นวิธีการติดตามการปรากฏอยู่และแนวโน้มการระบาดของโควิด-19 ในชุมชน ด้วยการวิเคราะห์สารพันธุกรรมของไวรัสโควิด-19 ที่ปะปนอยู่ในน้ำเสีย ซึ่งประชาชนได้ขับถ่ายปัสสาวะและอุจจาระไหลมารวมกันในบ่อบำบัด เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจะได้รับข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเกี่ยวกับการไหลเวียนและการแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19 ภายในชุมชนนั้น ๆ เป็นเสมือนสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าก่อนที่จะมีผู้เจ็บป่วยและต้องเข้ารักษาตัวใน รพ. ประมาณถึง 4-6 วัน (ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค สหรัฐอเมริกา (US CDC))
เป็นการชะลอหรือการซื้อเวลา (delay or buy time) ให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขได้มีเวลาเตรียมพร้อมและออกมาตรการเพื่อการลดหรือบรรเทาผลกระทบของการระบาด (outbreak) จากโควิด-19
การเฝ้าระวังโควิด-19 จากน้ำเสียในต่างประเทศ:
ระบบเฝ้าระวังน้ำเสียแห่งชาติ (National Wastewater Surveillance System: NWSS) ของสหรัฐอเมริกาซึ่งพัฒนาโดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) เป็นตัวอย่างการดำเนินการเฝ้าระวังการระบาดของโควิด-19 จากน้ำเสียที่ประสบความสำเร็จ NWSS ประสานงานและสร้างขีดความสามารถของประเทศในการติดตามการปรากฏขึ้นของโควิด-19 ในน้ำเสียที่รวบรวมจากบ่อบำบัดน้ำเสียในแหล่งชุมชนใหญ่ทั่วประเทศด้วยการตรวจจับไวรัสโคโรนา 2019 ด้วยเทคนิค “Real-time PCR” หรือ “Quantitative PCR” ซึ่งบ่งชี้ถึงการมีอยู่ของโควิด-19 (ผลบวก) พร้อมจำนวน (จำนวนไวรัส/มิลลิลิตร)ในตัวอย่างน้ำส่งตรวจ ทำให้หน่วยงานด้านสาธารณสุขสามารถระบุแนวโน้มการระบาดได้ตั้งแต่เนิ่นๆ สามารถดำเนินการป้องกันให้กับชุมชนนั้นอย่างมีประสิทธิภาพและเสริมข้อมูลการเฝ้าระวังอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีการบูรณาการการเฝ้าระวังจีโนมิกส์ (Genomic Surveillance) อันเป็นการตรวจสอบรหัสพันธุกรรมของไวรัสโควิด-19 จากตัวอย่างน้ำเสียที่ผลการตรวจ Real-time PCR ให้ผลบวกร่วมด้วย ช่วยให้สามารถระบุชนิดของสายพันธุ์ทั้งเก่าและใหม่ที่ลดจำนวนลงหรือเพิ่มจำนวนขึ้นได้อย่างจำเพาะเจาะจง ช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ด้านสาธารณสุขได้อย่างเหมาะสม เช่น รณรงค์การฉีดวัคซีนและปรับระยะเวลาในการฉีดเข็มกระตุ้น การใช้แอนติบอดีสำเร็จรูปและการใช้ยาต้านไวรัสในการรักษา เป็นต้น
การเฝ้าระวังโควิด-19 จากน้ำเสียในประเทศไทย:
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ และสำนักวิจัยโรงพยาบาลรามาธิบดี เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการดำเนินการโครงการนำร่องการเฝ้าระวังโควิด-19 จากน้ำเสียที่สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ ที่ประสบความสำเร็จ ด้วยตระหนักถึงศักยภาพของระบาดวิทยาจากน้ำเสีย สำนักวิจัยฯ ได้เก็บตัวอย่างน้ำเสียจากสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ มาตรวจ Real-time PCR ตัวอย่างที่ให้ผลเป็นบวก ถูกส่งมาตรวจรหัสพันธุกรรมด้วยเทคนิค MassArray Genotyping ที่ศูนย์จีโนมฯ เพื่อติดตามแนวโน้มของโควิด-19 สายพันธุ์ต่างๆที่ไหลเวียนและการแพร่กระจายอยู่ในชุมชนนั้น เพื่อสามารถวางแผนรับมือ และดำเนินการตามเป้าหมายเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของไวรัส การควบรวมการเฝ้าระวังจีโนมิกส์ของโควิดเข้ากับการเฝ้าระวังน้ำเสียในประเทศไทยจะทำให้ได้ข้อมูลที่มีค่าเกี่ยวกับความชุกของไวรัสสายพันธุ์ต่างๆ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ช่วยสนับสนุนความพยายามของประเทศในการติดตามและจัดการภูมิทัศน์ทางระบาดวิทยาที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อการป้องกัน และรักษา ประชากรไทย ซึ่งดำเนินการได้ดีในระดับหนึ่ง สังเกตจากข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก เมื่อวันที่ 20/7/2566
ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยืนยัน 4,754,228 คน เสียชีวิต 34,410 คน คิดเป็นร้อยละ 0.72
ประเทศสเปน มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยืนยัน 13,980,340 คน เสียชีวิต 121,853 คน คิดเป็นร้อยละ 0.87
ประเทศอังกฤษ มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยืนยัน 24,641,596 คน เสียชีวิต 228,144 คน คิดเป็นร้อยละ 0.92
ประเทศสหรัฐอเมริกา มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยืนยัน 103,436,829 คน เสียชีวิต 1,127,152 คน คิดเป็นร้อยละ 1.08
ประเทศอินเดีย มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยืนยัน 44,994,995 คน เสียชีวิต 531,915 คน คิดเป็นร้อยละ 1.18
การเฝ้าระวังโรคติดเชื้อจากน้ำเสียสามารถใช้เพื่อเฝ้าระวังโรคติดเชื้ออื่นๆ ได้ด้วย เช่น โรคโปลิโอ ไข้หวัดใหญ่ โรคกระเพาะและลำไส้อักเสบจากไวรัส เชื้อโรคที่ดื้อต่อยาต้านจุลชีพ โรคจากอาหารปนเปื้อนจุลชีพ เช่น โนโรไวรัส เชื้อซัลโมเนลลา คลอสตริเดียม เพอร์ฟริงเจนส์ แคมพิโลแบคเตอร์ สแตฟฟิโลคอคคัส ออเรียส อหิวาตกโรค และโรคฝีดาษลิง ฯลฯ สามารถติดตามได้ผ่านการเฝ้าระวังน้ำเสียได้ดีเช่นกัน วิธีการนี้มีคุณค่าในระดับประชากรเกี่ยวกับความชุกและแนวโน้มการเกิดโรคติดเชื้อในชุมชน ซึ่งช่วยเสริมกลยุทธ์การตรวจหาและตอบสนองต่อโรคเหล่านี้ตั้งแต่เนิ่นๆ
ความแตกต่างระหว่างการเฝ้าระวังโควิด-19 ทางคลินิกและการเฝ้าระวังโควิด-19 จากน้ำเสีย:
การเฝ้าระวังทางคลินิกและการเฝ้าระวังจากน้ำเสียมีความแตกต่างกันในหลายด้าน การเฝ้าระวังทางคลินิกมุ่งเน้นไปที่การตรวจหาหรือการถอดรหัสสารพันธุกรรมของไวรัสหรือจุลชีพจากผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงจนต้องเข้ารักษาตัวในสถานพยาบาลโดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับการกลายพันธุ์และความหลากหลายทางพันธุกรรมในบุคคลติดเชื้อก่อโรคที่มีอาการรุนแรง ในทางตรงกันข้าม การเฝ้าระวังน้ำเสียให้มุมมองระดับชุมชนของความชุกและแนวโน้มของไวรัสหรือจุลชีพจากบุคคลที่ยังไม่แสดงอาการ หรือมีอาการไม่รุนแรงที่จำเป็นต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล การรวมข้อมูลจากทั้งสองวิธี (การเฝ้าระวังทางคลินิกและการเฝ้าระวังจากน้ำเสีย) ทำให้เกิดความเข้าใจที่ครอบคลุมมากขึ้นเกี่ยวกับการแพร่กระจายของโรค ทั้งสายพันธุ์ที่ไม่แสดงอาการหรือก่อโรค และสายพันธุ์ที่ก่อโรครุนแรง
ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวในการเฝ้าระวังจีโนมของน้ำเสีย:
ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวเกี่ยวข้องกับการเฝ้าระวังจีโนมของน้ำเสีย การถอดรหัสพันธุกรรมดีเอ็นเอจากน้ำเสียอาจมีดีเอ็นเอของประชาชนในชุมชุนปะปนอยู่ ซึ่งจากรหัสพันธุกรรมที่ถอดออกมาได้อาจสามารถใช้ระบุตัวบุคคลได้จากตัวอย่างน้ำเสีย เมื่อนำไปเชื่อมโยงกับชุดข้อมูลอื่นๆ อาจทำให้ความเป็นส่วนตัวลดลง การเปิดเผยข้อมูลที่ละเอียดอ่อนเกี่ยวกับตัวบุคคล การระบุว่าผู้ใด หรือกลุ่มใดในชุมชนติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ใดอาจก่อให้เกิดการตีตราทางสังคม (social stigma) ได้ ดังนั้นการป้องกันการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาตจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเข้มงวด
การชะลอหรือซื้อเวลาการระบาด (delay or buy time) ประเภทอื่นๆ เช่น
1.การใช้มาตรการด้านสาธารณสุข: บังคับใช้มาตรการด้านสาธารณสุข เช่น การสวมหน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล และการส่งเสริมสุขอนามัยของมือ เช่นการล้างมือ กินร้อน ช้อนกลาง มาตรการเหล่านี้ช่วยลดการแพร่กระจายของไวรัสและชะลอการแพร่ระบาดภายในชุมชน
2.การทดสอบและการติดตามผู้สัมผัส: เพิ่มขีดความสามารถในการทดสอบและติดตามผู้สัมผัสของผู้ติดเชื้อ อย่างมีประสิทธิภาพ การทดสอบและการติดตามผู้สัมผัสอย่างทันท่วงทีช่วยระบุและแยกผู้ติดเชื้อโควิด-19 ป้องกันการแพร่เชื้อเพิ่มเติมและซื้อเวลาในการดำเนินการแทรกแซงอื่นๆ
3.แคมเปญการฉีดวัคซีน: เร่งความพยายามในการฉีดวัคซีนเพื่อให้ครอบคลุมประชากรโดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบางและกลุ่มเด็กเล็ก การฉีดวัคซีนมีบทบาทสำคัญในการลดการเจ็บป่วยที่รุนแรง การรักษาตัวในโรงพยาบาล และการเสียชีวิต การให้วัคซีนแก่คนจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จะช่วยลดผลกระทบของการระบาดอย่างมีนัยยสำคัญ และสามารถซื้อเวลาเพื่อควบคุมการแพร่กระจายได้
4.การจำกัดการเดินทางและการควบคุมชายแดน: ใช้มาตรการจำกัดการเดินทางและการควบคุมชายแดนเพื่อจำกัดการเข้ามาของไวรัสจากพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง มาตรการเหล่านี้ช่วยชะลอการเกิดผู้ป่วยรายใหม่และซื้อเวลาในการเสริมสร้างความพร้อมและการตอบสนองของระบบการรักษาพยาบาลในท้องถิ่น
5.การเผยแพร่ข้อมูลแก่ประชาชนให้เกิดการตระหนักรู้ด้านสาธารณสุขที่ถูกต้องในการป้องกัน ดูแล และรักษาโรคโควิด-19 (COVID-19 health literacy) : สื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันแก่สาธารณชนอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับโควิด-19 การแพร่เชื้อ และมาตรการป้องกัน ส่งเสริมการรับรู้และการศึกษาของชุมชนเพื่อให้แน่ใจว่าปฏิบัติตามแนวทางด้านสาธารณสุขอันสามารถชะลอการระบาดของโรคได้อย่างมาก
6.เสริมสร้างศักยภาพของระบบสุขภาพทั้งระบบ เช่นการเพิ่มห้องความดันลบในโรงพยาบาล เพิ่มศูนย์ตรวจ PCR จัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่นถังออกซิเจนสำหรับผู้ป่วยโควิดให้พอเพียง ลงทุนปรับปรุงทั้งปริมาณและคุณภาพของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับโรคอุบัติใหม่ที่จะระบาดในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะเกิดถี่ขึ้นสิ่งนี้ช่วยให้สามารถจัดการโรคระบาดได้ดีขึ้น ลดความตึงเครียดในสถานพยาบาล และมีเวลามากขึ้นในการตอบสนองต่อการระบาดของโรคติดเชื้ออย่างมีประสิทธิภาพ
7.การวิจัยและพัฒนา: สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาวิธีการตรวจวินิจฉัยด้วยตนเองหรือผ่านห้องปฏิบัติการ การผลิตวัคซีนให้ได้ภายในประเทศเพื่อการป้องกัน ทดสอบสมุนไพร ยาต้านไวรัส และแอนติบอดีสำเร็จรูป เพื่อการรักษา การลงทุนในความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์สามารถช่วยเร่งปรับปรุงผลลัพธ์ในการป้องกันและรักษาผู้ป่วยและสามารถซื้อเวลาในการควบคุมการระบาดโควิด-19
8.การสนับสนุนทางสังคมและเศรษฐกิจ: ให้การสนับสนุนบุคคลและธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาด มาตรการต่าง ๆ เช่น ความช่วยเหลือทางการเงิน การคุ้มครองงาน และเครือข่ายความปลอดภัยทางสังคมช่วยบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจและช่วยให้บุคคลสามารถปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขโดยไม่ต้องเผชิญกับความยากลำบากที่เกินควร
การใช้กลยุทธ์เหล่านี้ร่วมกันและปฏิบัติตามแนวทางด้านสาธารณสุขในชุมชนจะสามารถชะลอหรือซื้อเวลาสำหรับการระบาดของโรคอุบัติใหม่อย่างโควิด-19 ได้อย่างมีนัยสำคัญ แนวทางนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันระบบการรักษาพยาบาลไม่ให้ล้มเหลว ลดภาระการเจ็บป่วยที่รุนแรง และช่วยชีวิตประชากรได้อย่างมาก