บอร์ดนโยบายฯ ขยายเวลายุทธศาสตร์ลดบริโภคเกลือและโซเดียมในไทยไปอีก 2 ปี
บอร์ดนโยบายฯ ขยายเวลายุทธศาสตร์ลดบริโภคเกลือและโซเดียมในประเทศไทย เป็นเวลา 2 ปี จากเดิมสิ้นสุดปี 2568 เป็นปี 2570 หนุนให้คนไทยบริโภคเกลือไม่เกิน 2,000 มก./วัน ลดป่วย ลดโรค NCDs ขณะที่สถานการณ์การบริโภคคนไทยยังสูงเฉลี่ย 3,200–3,600 มิลลิกรัม(มก.)/วัน
ขยายระยะเวลายุทธศาสตร์ลดโซเดียม
วันที่ 21 ก.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการลดบริโภคเกลือและโซเดียม เพื่อลดโรคไม่ติดต่อระดับชาติ ครั้งที่ 2/2568 พร้อมกล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งการบริโภคเกลือเกินขนาด ถือเป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรค NCDs โดยเฉพาะจากพฤติกรรมการบริโภคโซเดียมในคนไทยที่มีผลมาจากการปรุงอาหารในครัวเรือน และการบริโภคอาหารสำเร็จรูป ส่งผลต่อการทำงานของไต จึงต้องเร่งรัดแก้ไขปัญหาโดยยกระดับการบังคับใช้มาตรการผ่านยุทธศาสตร์ลดการบริโภคเกลือและโซเดียมฯ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของภาคีเครือข่ายในการลดบริโภคเกลือและโซเดียมของประชาชน
ที่ประชุมวันนี้ได้มีมติเห็นชอบการขยายระยะเวลาการดำเนินงานยุทธศาสตร์ลดการบริโภคเกลือและโซเดียมในประเทศไทย พ.ศ. 2559 – 2568 ถึงปี 2570 พร้อมกับจัดทำแผนปฏิบัติการลดการบริโภคเกลือและโซเดียมในระยะต่อไป เพื่อให้บรรลุเป้าหมายลดการบริโภคเกลือและโซเดียมลงร้อยละ 30 หรือบริโภคเกลือและโซเดียม ไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเทียบกับเกลือแกงไม่เกิน 1 ช้อนชา เพื่อให้คนไทยสุขภาพดี ห่างไกลโรค NCDs
ติดตามความก้าวหน้า 5 ยุทธศาสตร์ SALTS
ด้าน นพ.สุทัศน์ โชตนะพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ที่ประชุมยังได้ติดตามความก้าวหน้าของ 5 ยุทธศาสตร์ ลดบริโภคเกลือฯ S A L T S ประกอบด้วย
1) การสร้าง พัฒนา และขยายเครือข่ายความร่วมมือ (S: Stakeholder network) สนับสนุนให้ อสม. มีเครื่องมือ Salt meter ในการตรวจวัดโซเดียมในอาหารครัวเรือน
2) การเพิ่มความรู้ ความตระหนักและเสริมทักษะประชาชน ชุมชน ผู้ผลิต/ผู้ประกอบการ บุคลากรวิชาชีพที่เกี่ยวข้องและผู้กำหนดนโยบาย (A: Awareness) เครือข่ายลดบริโภคเค็ม ผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ “ลดจิ้ม” ผ่านช่องทางต่างๆ
3) การปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดการผลิต ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง และเกิดผลิตภัณฑ์ที่มีโซเดียมต่ำ รวมทั้งเพิ่มทางเลือกและช่องทางการเข้าถึงอาหารปริมาณโซเดียมต่ำ (L: Legislation and environmental reform) โดยใช้เกณฑ์ WHO SEARO ในการจัดเก็บภาษีปริมาณโซเดียมที่เหมาะสม พัฒนาและส่งเสริมการใช้สัญลักษณ์โภชนาการ “ทางเลือกสุขภาพ” ( Healthier choice logo) ในสินค้ากลุ่มอาหารกึ่งสำเร็จรูปและขนมขบเคี้ยว พร้อมทั้งตรวจสอบการออกกฎหมายกำกับดูแลเรื่องปริมาณเกลือโซเดียม และ GLP (Good Laboratory Practice) ร่วมกับภาคีเครือข่าย เป็นทางเลือกสุขภาพให้ผู้ประกอบการได้รับตราสัญลักษณ์ Healthier choice
4) การพัฒนางานวิจัยและองค์ความรู้ และการนำไปสู่การปฏิบัติ (T: Technology and Innovation) โดยมีสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ให้ทุนสนับสนุนงานวิจัยโครงการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 7 พ.ศ. 2567 – 2568 อยู่ในระหว่างการศึกษา โครงการวิจัยข้อเสนอเชิงนโยบายการจัดทำเกณฑ์มาตรฐานปริมาณโซเดียมสำหรับอาหารประเภทต่างๆของประเทศไทยเพื่อกำหนดเกณฑ์มาตรฐานปริมาณโซเดียมสำหรับอาหารและความเหมาะสมกับสถานการณ์การบริโภคโซเดียมและบริบทของประเทศไทย และเป็นแนวทางให้การบริโภคเกลือและโซเดียมของคนไทยลดลงลดค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพ
5) การพัฒนาระบบเฝ้าระวังติดตาม และประเมินผล เน้นตลอดกระบวนการผลิตและผลลัพธ์ (S: Surveillance, monitoring and evaluation)
ขยายยุทธศาสตร์ฯ จากสิ้นสุดปี 68 เป็นปี 70
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระยะเวลาเห็นชอบให้ขยายเวลายุทธศาสตร์ลดการบริโภคเกลือและโซเดียมในประเทศไทย หรือ ยุทธศาสตร์ SALTS เป็นเวลา 2 ปี จากเดิมสิ้นสุดปี 2568 เป็นสิ้นสุดปี 2570 ขณะที่สถานการณ์การบริโภคโซเดียมในคนไทย ค่าเฉลี่ย 3,200–3,600 มิลลิกรัม(มก.)/วัน สูงกว่าคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ไม่เกิน 2,000 มก./วัน) เนื่องจากพฤติกรรมการบริโภค 2 ส่วนสำคัญ คือ 71% ปรุงอาหารด้วยเครื่องปรุงเค็มที่บ้าน
ทั้งนี้ การบริโภคอาหารสำเร็จรูป ส่งผลให้เกิดภาระโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)ตามมา โดยเฉพาะผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด และส่งผลต่อการทำงานของไต ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งปี 2567 คนไทยมีอัตราป่วย 16,364 ต่อประชากรแสนคน ,ป่วยโรคไตเรื้อรัง 1,121,545คน ,ปี 2565 อัตราป่วยโรคหัวใจขาดเลือด 22,852 ต่อประชากรแสนคน และโรคหลอดเลือดสมอง 37,802 ต่อประชากรแสนคน