“สมัชชาสุขภาพเมืองพัทยา ครั้งที่ 3” เปิดเวที “Ted talk” ถกแถลงมุมมองเชิงนโยบาย เชิญตัวแทนร่วมสะท้อนภาพ “คนทำงานกลางคืน” ฟันเฟืองสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจพัทยา แต่เผชิญความเสี่ยงสุขภาพ-เข้าถึงบริการได้ยาก ปลื้มหลายฝ่ายให้ความสนใจ-เกิดนโยบายในการดูแล สอดคล้องกับอาชีพ “ช่างสัก”

สมัชชาสุขภาพเมืองพัทยา ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2568 BETTER PATTAYA: HAPPY CITY สุขภาวะดี มีความสุข ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับเมืองพัทยา และหน่วยงานภาคีเครือข่าย เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2568 ณ โรงแรมไบรท์ตัน แกรนด์ พัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ได้มีกิจกรรม “Ted talk ถกแถลงเปิดมุมมอง เชิงนโยบาย” เป็นเวทีในการแสดงทรรศนะต่อกระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วม รวมถึงระเบียบวาระที่พิจารณาภายในสมัชชาสุขภาพฯ

สำหรับสมัชชาสุขภาพสากลเมืองพัทยา ครั้งที่ 3 ได้มีการพิจารณาและรับรองฉันทมติใน 3 ระเบียบวาระ ประกอบด้วย 1. นโยบายสุขภาพเพื่อแรงงานกลางคืน 2. ธรรมนูญกลุ่มอาชีพ “ช่างสัก เมืองพัทยา” 3. มาตรการป้องกันเด็กและเยาวชนห่างไกลบุหรี่ไฟฟ้า โดยได้มีการส่งมอบมติสมัชชาสุขภาพฯ ให้กับเมืองพัทยา พร้อมกับประกาศใช้ “ธรรมนูญกลุ่มอาชีพ ช่างสัก เมืองพัทยา” และร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ “ป้องกันเด็กและเยาวชนห่างไกลบุหรี่ไฟฟ้า”

นายดำรงค์เกียรติ พินิจการ สมาชิกสภาเมืองพัทยา เปิดเผยว่า คนทำงานกลางคืน ไม่ว่าจะเป็นส่วนของผู้ประกอบการ หรือพนักงานบริการทุกคน ล้วนมีส่วนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวและขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้กับเมืองพัทยา แต่คนทำงานกลางคืนเหล่านี้จะมีนาฬิกาชีวิตที่แตกต่างไปจากคนทำงานกลางวัน มีการพักผ่อนหรือการดำเนินชีวิตที่ผิดปกติไป อันก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคภัยได้ง่าย แต่ขณะเดียวกันก็เข้าถึงบริการสุขภาพได้ยาก เนื่องด้วยเวลาการใช้ชีวิตที่สวนทางกับเวลาทำการของหน่วยบริการ

“ต้องขอบคุณเมืองพัทยาและภาคีเครือข่ายต่างๆ ที่ได้ร่วมกันผลักดันและขับเคลื่อนการทำงานเชิงรุก ในการไปออกตรวจ ให้คำแนะนำ ให้คำปรึกษาคนทำงานกลางคืน รวมถึงพนักงานที่มีภาวะเสี่ยงต่อโรคติดต่อ รวมถึงวันนี้ที่ได้มีการนำเอาปัญหาสะท้อนขึ้นมา ให้สังคมได้เห็นว่ามีคนกลุ่มนี้ที่ยังเข้าไม่ถึงบริการสุขภาพ และช่วยกันทำให้เกิดนโยบายสุขภาพเพื่อแรงงานกลางคืนทุกคน” นายดำรงค์เกียรติ กล่าว

นายไพโรจน์ แก้วหล้า เลขานุการสมาคมช่างสักพัทยา กล่าวว่า ในส่วนของอาชีพช่างสักนั้น เดิมสมัยก่อนอาจยังไม่เป็นที่ยอมรับเท่าไรนักในสังคมไทย เนื่องด้วยภาพลักษณ์ของคนมีรอยสักที่ค่อนข้างถูกมองในทางลบ แต่ในยุคปัจจุบันได้เดินทางมาสู่จุดที่ช่างสักสามารถเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ และมีเกียรติในสังคมมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันนี้เป็นที่น่ายินดีอย่างมาก เมื่ออาชีพช่างสักได้รับการสนับสนุนผลักดันจากผู้ใหญ่ในเมืองพัทยา รวมถึงองค์กรหน่วยงานต่างๆ

หากย้อนไปดูประวัติศาสตร์ของการสักในเมืองพัทยา เดิมเริ่มต้นจากการสักกันเองในชุมชน ก่อนที่การสักจะเริ่มรุ่งเรืองขึ้นในยุคเดียวกันกับที่ทหารอเมริกันได้เข้ามาสร้างการเจริญเติบโตให้กับการท่องเที่ยวเมืองพัทยา โดยมีการนำเครื่องสักสมัยใหม่เข้ามาจากต่างประเทศ และงานสักก็มีการพัฒนามากขึ้น

อย่างไรก็ตามในแง่ของมาตรฐาน อาจยังไม่มีหน่วยงานที่เข้ามารับรองหรือดูแลในส่วนนี้โดยตรง เพราะเป็นอาชีพที่ยังค่อนข้างอยู่ในวงแคบ แต่ปัจจุบันเมื่องานสักได้พัฒนาถึงขั้นยกระดับเป็นอาชีพที่ก่อให้เกิดรายได้และขับเคลื่อนเศรษฐกิจเมืองพัทยา ก็ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายสาธารณสุขของเมืองพัทยา ที่ผลักดันให้เกิดมาตรฐาน มีการจัดอบรม ให้ความรู้ในการจัดการต่างๆ

“ปัญหาที่มีมาตลอดของงานสักคือเรื่องการยอมรับในสังคม มุมมองต่ออาชีพช่างสักว่าเป็นไปได้หรือที่จะทำให้เกิดมาตรฐาน แต่ปัจจุบันรับรองได้ว่าการสักมีความสะอาดและปลอดภัย เข็มที่ใช้เป็นแบบครั้งเดียวทิ้ง (Single Use) ทั้งหมด ขยะติดเชื้อก็มีการจัดเก็บอย่างถูกวิธี มีการจัดการร้านที่ถูกสุขลักษณะ เพราะได้รับความรู้และมีการสนับสนุนจากทางสาธารณสุขเมืองพัทยา” นายไพโรจน์ กล่าว

นายปราโมทย์ แก้วหล้า นายกสมาคมช่างสักพัทยา กล่าวว่า ส่วนตัวมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ในวันนี้ได้ก้าวหน้ามาสู่จุดที่มีธรรมนูญกลุ่มอาชีพ ช่างสัก เมืองพัทยา เป็นกติกาข้อตกลงร่วมกันภายในกลุ่ม เพื่อยกระดับบริการของช่างสัก ภายใต้กฎระเบียบที่เกิดจากการหารือร่วมกัน เพื่อเป็นการควบคุมร้านสักในเมืองพัทยาให้มีคุณภาพและมาตรฐานดียิ่งขึ้นไป จึงต้องขอบคุณผู้ใหญ่ทุกท่านที่ให้การยอมรับและผลักดันอาชีพช่างสักให้มีพัฒนาการที่ดี

ขณะที่ นายอนุศักดิ์ เปรมเปราะ รองผู้อำนวยการสถานศึกษา (โรงเรียนเมืองพัทยา 3) กล่าวว่า ย้อนกลับไปเมื่อเดือนที่ผ่านมาได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง สช. เมืองพัทยา โรงเรียนในสังกัดเมืองพัทยา ตลอดจนภาคีเครือข่ายหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 21 หน่วยงาน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนมาตรการป้องกันเด็กและเยาวชนห่างไกลบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นภัยเสี่ยงอย่างมากที่เด็กและเยาวชนในยุคปัจจุบันกำลังเผชิญ

นายอนุศักดิ์ กล่าวว่า ปัญหาในยุคอดีตเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว คือการที่นักเรียนแอบสูบบุหรี่มวนในห้องน้ำ เมื่อครูพบเห็นก็มีการลงโทษตามขั้นตอนต่างๆ แต่มาในยุคปัจจุบันที่กลายเป็นบุหรี่ไฟฟ้า พบว่ามีตัวยามากมายที่ส่งผลเสียต่อร่างกายได้มากขึ้น นอกจากนั้นยังมีโทษในทางกฎหมาย ซึ่งมาตรการที่โรงเรียนดำเนินในช่วงที่ผ่านมาเมื่อพบเคสนักเรียนสูบบุหรี่ไฟฟ้า ได้มีการเชิญสารวัตรมาพูดคุยกับเด็กนักเรียนรวมถึงผู้ปกครอง เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับโทษภัย ขณะเดียวกันก็จะต้องมีการทำข้อตกลงร่วมกัน เพื่อรับทราบและเข้าสู่กระบวนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพราะหากไม่ตกลงก็จะต้องมีการส่งตำรวจเพื่อดำเนินคดีต่อไป

ด้าน ดร.วัลลภ สุวรรณดี อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต กล่าวว่า ในกระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมให้เกิดชุมชนเมืองเข้มแข็ง เพื่อเดินไปสู่จุดหมายของการพัฒนาทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ฯลฯ จะมีคีย์เวิร์ดสำคัญ 2 ประการ คือ ชุมชน กับ ราชการ ซึ่งที่ผ่านมากระบวนการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง มักเกิดจากภาคราชการไปดึงชุมชนเข้ามา แต่ก็อาจติดขัดปัญหา หากสิ่งที่น่าจะนำมาสู่ความยั่งยืนมากกว่า คือการพัฒนาที่เริ่มจากความต้องการของชุมชนก่อน แล้วจึงไปดึงภาคราชการเข้ามาช่วย

ดร.วัลลภ กล่าวว่า การขับเคลื่อนของเมืองพัทยาถือเป็นตัวอย่างการทำงานให้เกิดชุมชนเข้มแข็ง โดยสิ่งสำคัญอันดับแรกเริ่มต้นจากการ ‘เปิดใจ’ เชื่อมั่นในศักยภาพ ความเข้มแข็ง และการมีส่วนร่วมของชุมชน ขณะเดียวกันก็ต้องมีการเปิดเผยข้อมูลต่างๆ อย่างจริงใจ ให้ประชาชนได้รับทราบถึงระเบียบ ข้อบังคับ เทศบัญญัติต่างๆ จากนั้นจึง ‘เปิดโครงการ’ ที่มีความคุ้มค่าแก่ชุมชน โดยถ่วงดุลระหว่างประโยชน์สาธารณะ และประโยชน์ของบางส่วน พร้อมกับมีขั้นตอนการดำเนินงานและผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน

“ส่วนการเสริมความเข้มแข็งให้โครงการเดินหน้าได้ ก็ต้องมีการเสริมความรู้ให้กับชุมชน ซึ่งเป็นบทบาทสำคัญของสถาบันศึกษาในทุกระดับ โดยเฉพาะอุดมศึกษา ที่จะให้ความรู้ความเข้าใจด้านกฎหมาย หรือข้อบังคับที่เอื้อกับแนวทางการพัฒนาต่างๆ พร้อมกันนั้นสิ่งสำคัญยังเป็นการสื่อสารความเข้าใจอันดีให้ประชาชนได้รับทราบตลอดเวลาในการดำเนินการพัฒนาร่วมกัน เพื่อลดโอกาสการพลาดเป้าจากอุปสรรคต่างๆ ที่อาจเกิดการต่อต้าน ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน หรือการขัดผลประโยชน์กันได้” ดร.วัลลภ กล่าว

อนึ่ง นอกจากเวที สมัชชาสุขภาพเมืองพัทยา ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2568 ที่จัดขึ้นเป็นกระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะในระดับพื้นที่เขตเมืองแล้ว ในระดับประเทศกำลังจะมีการจัดเวที สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 พ.ศ. 2568 ขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 27-28 พ.ย. 2568 ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี ภายใต้ประเด็นหลัก (Theme) “เศรษฐกิจยุคใหม่ สร้างสุขภาวะไทยยั่งยืน” ซึ่งจะมีการพิจารณาระเบียบวาระที่เป็นประเด็นปัญหาสำคัญของประเทศด้วยเช่นกัน