เปิดผลสำรวจ เด็กไทยใช้เงินพ่อแม่ซื้อ “บุหรี่ไฟฟ้า” เฉลี่ยสูงถึงปีละ 26,944 บาท
ผลสำรวจเยาวชน กทม. 400 ตัวอย่าง เสียเงินซื้อ บุหรี่ไฟฟ้า สูงถึงปีละ 26,944 บาท หรือเดือนละ 2,245 บาท สถาบันยุวทัศน์ฯ-สสส.-กอช. เร่งรณรงค์ “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ สร้างรากฐานที่มั่นคง”
เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ที่โรงแรมเอเชีย เขตราชเทวี กทม. สถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย (ยท.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่าย เช่น กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) สถาบันการศึกษา สำนักงานเขตในพื้นที่กรุงเทพ มหานคร (กทม.) ร่วมแถลงข่าวเปิดผลสำรวจพฤติกรรมการใช้บุหรี่ไฟฟ้าของเด็กและเยาวชนในมิติเศรษฐศาสตร์ “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ สร้างรากฐานที่มั่นคง” เนื่องในเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ 2568 : เริ่มต้นคนใหม่ ในปีใหม่ Happy New Life
โดยนายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสื่อสารมวลชน สสส. กล่าวว่า ยาสูบยังเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการมีสุขภาวะที่ดี ข้อมูลรายงานภาระโรคจากปัจจัยเสี่ยงของประชากรไทยปี 2562 พบว่า การสูบบุหรี่/ยาสูบเป็นสาเหตุสำคัญต่อการเสียชีวิตในประชากรไทย 15.6% เป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับหนึ่งต่อการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งมากที่สุด 22,561 คน คิดเป็น 26.1% ที่น่าห่วงคือแนวโน้มการสูบบุหรี่ของเด็กและเยาวชนไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จากผลสำรวจการบริโภคผลิตภัณฑ์ยาสูบในเยาวชนไทยปี 2565 พบว่า สูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นจาก 3.3% เป็น 17.6% หรือเพิ่มขึ้น 5.3 เท่า จากปี 2558 ส่วนข้อมูลรายจ่ายครัวเรือนไทยปี 2566 พบว่า ส่วนใหญ่เป็นค่าอุปโภคบริโภคถึง 87% รายจ่ายสูงสุด คือ อาหาร เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ คิดเป็น 35.5% โดยเฉพาะครอบครัวที่มีรายได้น้อย มีค่าใช้จ่ายการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สูงกว่าครอบครัวรายได้สูงถึง 6 เท่า และใช้เงิน 21.5% ของรายได้ไปกับการสูบบุหรี่ ทำให้เหลือเงินสำหรับใช้จ่ายด้านอื่นที่จำเป็นน้อยลงก่อให้เกิดหนี้สินเพิ่มขึ้น
สสส. ให้ความสำคัญและมุ่งทำงานด้านการควบคุมยาสูบ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่จะเป็นกำลังของชาติในอนาคต เน้นสื่อสารเชิงบวกกับคนรุ่นใหม่เกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า ศึกษาพฤติกรรมสุขภาพของเด็ก เยาวชน และคนรุ่นใหม่ต่อการสูบบุหรี่ไฟฟ้า และจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อส่งมอบให้กับผู้กำหนดนโยบาย เพราะหากเริ่มสูบบุหรี่จะเป็นจุดเริ่มต้นสู่สิ่งเสพติดอื่นๆ และเมื่ออายุเฉลี่ยเริ่มสูบบุหรี่ครั้งแรกน้อยลงเรื่อยๆ ยิ่งมีโอกาสเลิกสูบบุหรี่สำเร็จน้อย
น.ส.พลอยชนก แสนอาทิตย์ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม กล่าวว่า จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างเด็กและเยาวชนใน กทม. จำนวน 400 ตัวอย่าง อายุระหว่าง 13-24 ปี ซึ่งเป็นผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าทั้งหมด พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า 56.5% ได้รับเงินจากบิดา มารดา หรือผู้ปกครอง 87.75% มีรายได้ระหว่าง 500-2,000 บาท/สัปดาห์ สำหรับเงินที่นำมาซื้อบุหรี่ไฟฟ้าส่วนใหญ่ 54.50% ได้จากบิดา มารดา หรือผู้ปกครอง ใช้เงินซื้อบุหรี่ไฟฟ้าเฉลี่ยสูงถึงปีละ 26,944 บาท หรือเดือนละ 2,245 บาท 73% ใช้เงินซื้อบุหรี่ไฟฟ้า 501-1,000 บาท/สัปดาห์
นอกจากนี้ ยังพบว่า การที่หน่วยงานหรือองค์กรที่มีหน้าที่กำกับกิจการภาพยนตร์หรือละครทางโทรทัศน์หรือสื่อสังคมออนไลน์ปล่อยให้มีตัวละครในภาพยนตร์หรือผู้ทรงอิทธิพลบนโลกออนไลน์สูบบุหรี่ไฟฟ้า จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจสูบบุหรี่ไฟฟ้ามากถึงมากที่สุด 16.25% และปานกลาง 38.25% เมื่อรวมกันแล้วคิดเป็น 54.50% ตอกย้ำได้ว่า สื่อบุคคลอย่างผู้ทรงอิทธิพลบนโลกออนไลน์หรือตัวละครในภาพยนตร์มีผลต่อการตัดสินใจของเด็กและเยาวชนจริง ๆ
ด้านนายพชรพรรษ์ ประจวบลาภ เลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย (ยท.) กล่าวว่า จากผลวิจัยถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจของสังคมไทย โดยเฉพาะในช่วงที่ไทยกำลังเผชิญสภาวะทางเศรษฐกิจ ประชาชนส่วนใหญ่เป็นผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางและอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี ต้องยอมรับว่าเด็กและเยาวชนระดับมัธยมศึกษาหรืออุดมศึกษายังไม่ได้ประกอบอาชีพ รายได้ส่วนใหญ่มาจากครอบครัวหรือผู้ปกครอง การที่เด็กและเยาวชนสูญเสียเงินซื้อบุหรี่ไฟฟ้าเฉลี่ยเดือนละ 2,245 บาท
หากนำเงินจำนวนนี้มาออมหรือลงทุนทุกเดือน 30 ปี (360 เดือน) และมีอัตราผลตอบแทนการฝากเงินหรือลงทุนรวมกันประมาณ 5% ต่อปี จากการคำนวณผ่านโปรแกรมคำนวณเงินออมของธนาคารแห่งประเทศไทย จะทำให้มีผลตอบแทนรวมกับเงินต้นที่ออมหรือลงทุนสูงถึง 1,879,355 บาท แบ่งเป็นเงินต้น 808,200 บาท และดอกเบี้ยหรือผลกำไร 1,071,155 บาท
“ยท.เห็นความสำคัญของการวางแผนทางด้านการเงินของคนรุ่นใหม่และการมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง จึงขอใช้โอกาสเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ 2568 เชิญชวนเด็กและเยาวชนไทยเริ่มต้นคนใหม่ ในปีใหม่ ตามแนวคิด “Happy New Life” คือมีความสุขในชีวิตทั้งมิติสุขภาพและมิติทางด้านการเงิน ด้วยการเปลี่ยนเงินที่ซื้อบุหรี่หรือบุหรี่ไฟฟ้าและสินค้าที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายมาเป็นเงินออมและลงทุนเพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงของครอบครัวในอนาคตต่อไป” นายพชรพรรษ์ กล่าว